

นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งแกล้งทำเป็นป่วยหนักเพื่อไม่ให้ถูกไล่ออก แต่การป่วยหลอกของเขากลับเปิดเผย เมื่อเขาได้สานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นอีกคนที่ป่วยหนักจริงๆ 🤥💔 บาดแผลจากคำโกหก: รีวิว “Lovesick (2025)” รักในคำลวง – วัยว้าวุ่นกับความจริงที่เจ็บปวด | movie24hd.net สวัสดีคอหนังโรแมนติก-ดราม่าวัยรุ่นทุกคนครับ/ค่ะ! วันนี้ movie24hd.net ขอนำเสนอภาพยนตร์ไต้หวัน/เอเชียที่กำลังมาแรงและเป็นกระแสพูดถึงในกลุ่มผู้ชมทั่วเอเชียอย่าง “Lovesick (2025)” หรือในชื่อไทย “รักในคำลวง” (有病才會喜歡你) ซึ่งกำกับโดย Hsu Fu-Hsiang (许富翔) (เป็นที่รู้จักจากผลงานดราม่าซีรีส์คุณภาพอย่าง The Way We Were) ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่หนังรักในรั้วโรงเรียนทั่วไป แต่เป็นการเจาะลึกจิตใจของวัยรุ่นที่ใช้ ‘คำโกหก’ เป็นเกราะกำบังจากโลกที่โหดร้าย

“Lovesick” เล่าเรื่องราวของ เจย์ (Jay) เด็กนักเรียนตัวปัญหาที่มักใช้ความยียวนและคำโกหกเพื่อหลีกหนีจากชีวิตจริงอันเจ็บปวด โดยเฉพาะปมปัญหาในครอบครัวที่หนักอึ้ง จนกระทั่งการแกล้งป่วยเป็นมะเร็งโดยไม่ตั้งใจ กลับกลายเป็นตั๋ววิเศษที่ทำให้เขามีอิสระและได้รับความเห็นใจจากเพื่อน ๆ แต่คำโกหกนี้ก็นำเขาไปพบกับ เจด (Jade) เด็กสาวผู้ที่กำลังป่วยด้วยโรคร้ายในชีวิตจริง ความสัมพันธ์ที่เบ่งบานภายใต้ ‘คำลวง’ นี้นำมาซึ่งทั้งความโรแมนติกและความเจ็บปวดที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล
สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเสน่ห์และน่าติดตามคือการแสดงที่เข้าถึงบทบาทของนักแสดงวัยรุ่น โดยเฉพาะคู่พระ-นาง ที่ต้องแบกรับความตึงเครียดของสถานการณ์ที่ต้อง ‘แกล้ง’ และ ‘ป่วยจริง’
Zhan Huai-yun ในบท เจย์ คือหัวใจที่สับสนและขี้เล่นของเรื่องราว เขาเริ่มต้นด้วยการเป็น ‘ตัวตลกประจำห้อง’ (Class Clown) ที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และพลังงานที่ล้นเหลือ
พลังงานที่เข้าถึงได้: ในช่วงแรก Zhan ถ่ายทอดบุคลิกของวัยรุ่นผู้ก่อความวุ่นวายได้อย่างมีชีวิตชีวา แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ความลึกซึ้งทางอารมณ์ก็เริ่มปรากฏ การแสดงความขัดแย้งภายในใจของ เจย์ ที่ต้องรักษาสถานะ ‘คนป่วย’ ปลอม ๆ ไว้ เพื่อหลีกหนีความจริงของครอบครัวนั้น น่าเชื่อถือและน่าเห็นใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฉากที่เขาต้องเผชิญหน้ากับ เจด และรับรู้ถึงน้ำหนักของคำโกหกของเขา Zhan สามารถถ่ายทอดความรู้สึกผิดและความเปราะบางออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ชมรู้สึกอยากตักเตือนและเอาใจช่วยเขาไปพร้อมกัน
Victoria Chiang ในบท เจด คือตัวแทนของ ‘ความจริงที่เจ็บปวด’ และ ‘ความบริสุทธิ์’ เธอเป็นตัวละครที่มีความอ่อนโยนและแสนเศร้า ที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายในชีวิตจริง
ความนิ่งที่กินใจ: Chiang นำเสนอตัวละคร เจด ด้วยความนิ่งสงบและอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความเข้มแข็งภายใน การรับส่งบทบาทกับ Zhan ในฐานะคนที่กำลังตกหลุมรักคนที่ใช้ ‘อาการป่วย’ เป็นเรื่องโกหกนั้น มีเคมีที่เข้ากันอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากโรแมนติกที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความไม่แน่นอน ความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ค่อย ๆ เบ่งบานนั้นถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีเสน่ห์และทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพัน
Huang Guan-zhi ในบท TD: เพื่อนซี้และแหล่งรวมข่าวซุบซิบนินทาของโรงเรียน Huang มอบความสนุกสนานและเป็น ‘จังหวะตลก’ (Comic Heartbeat) ของภาพยนตร์ได้อย่างสม่ำเสมอ พลังงานของเขานำมาซึ่งเสียงหัวเราะที่จำเป็นอย่างยิ่งท่ามกลางดราม่าที่หนักอึ้ง
Hsiu-Fu Liu ในบท Chen: บทบาทของ เฉิน อาจจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่เขานำมาซึ่งความลึกซึ้งและความเปราะบางที่เงียบงันในบางช่วงของเรื่อง ซึ่งช่วยเสริมมิติให้กับฉากหลังของโรงเรียนได้ดี
ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้สไตล์การถ่ายทำแบบภาพยนตร์รักวัยรุ่นของไต้หวันคลาสสิก แต่มีการอัปเกรดงานโปรดักชั่นให้ดูทันสมัยและมีชีวิตชีวามากขึ้น
ความสดใสของวัยเรียน: “Lovesick” ใช้โทนสีที่สดใสในฉากโรงเรียนและสถานที่ออกเดท เพื่อสะท้อนความตื่นเต้นของความรักครั้งแรก การถ่ายภาพ (Photography) มีความสะอาดตาและเป็นมิตรกับผู้ชม (Clean Photography) ทำให้เรื่องราวดูเหมือน ‘กึ่งแฟนตาซีในฉากจริง’ ซึ่งเป็นสไตล์ที่เข้ากันได้ดีกับดราม่าวัยรุ่น
การเล่าเรื่องผ่านมุมมอง: ผู้กำกับ Hsu Fu-Hsiang ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องที่หลากหลาย เช่น เสียงบรรยาย (Voice-over) ของตัวละครหลัก และการใช้เทคนิคภาพที่น่าสนใจ เช่น Split Screen หรือ Visual Effects ในบางช่วง เพื่อให้ภาพยนตร์มีความทันสมัยและสอดคล้องกับความคิดที่ฟุ้งซ่านของวัยรุ่น การใช้เทคนิคเหล่านี้ช่วยเบลอเส้นแบ่งระหว่าง ‘จินตนาการ’ และ ‘ความเป็นจริง’ ซึ่งสอดคล้องกับธีมหลักของคำโกหกและการหลีกหนีความจริงของ เจย์
เพลงประกอบในภาพยนตร์มีบทบาทสำคัญในการสร้างอารมณ์ โดยเฉพาะเพลงรักที่ช่วยขับเน้นความรู้สึกโรแมนติกที่เกิดขึ้นระหว่าง เจย์ และ เจด มีการใช้เพลงประกอบที่ติดหูและสอดแทรกฉากที่เกือบจะเป็น ‘Musical Number’ สั้น ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของผู้กำกับที่มีพื้นฐานด้านโฆษณาและมิวสิควิดีโอ
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีแกนหลักที่น่าสนใจอย่างยิ่งในทางทฤษฎี: “ตัวละครหนึ่งแกล้งป่วย ในขณะที่อีกตัวละครป่วยจริง” ซึ่งสร้างแรงกดดันทางอารมณ์และศีลธรรมได้อย่างดี
เกราะป้องกัน: คำโกหกของ เจย์ ในการแกล้งป่วยมะเร็งไม่ได้เป็นเพียงการหลีกหนีชั้นเรียน แต่เป็นการแสดงออกถึง ความพยายามที่จะถูกมองเห็นและได้รับการดูแลเอาใจใส่ ที่เขาไม่ได้รับจากครอบครัว ภาพยนตร์นำเสนออย่างชัดเจนว่าการหลอกลวงนี้ทำให้เขาได้รับความเห็นใจและ “พื้นที่” ที่เขาปรารถนา
แม้ว่าช่วงกลางเรื่องที่เน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง เจย์ และ เจด จะทำได้อย่างมีเสน่ห์และเต็มไปด้วยอารมณ์ (โดยเฉพาะฉากตบที่กลายเป็นไฮไลต์ทางอารมณ์) แต่นักวิจารณ์หลายคนชี้ให้เห็นว่าภาพยนตร์มีปัญหาในการจัดการกับ บทสรุป
ความเยิ่นเย้อและเมลโลดราม่า (Overly Melodramatic Final Act): เมื่อเรื่องราวหลุดพ้นจากรั้วโรงเรียนและ คำโกหก ถูกเปิดโปง ภาพยนตร์กลับเข้าสู่โหมด ‘ดราม่าเต็มรูปแบบ’ ที่ดู ‘ยืดเยื้อ’ และ ‘จัดการได้ไม่ดี’ นัก การแก้ไขปมปัญหาดูไม่สมดุล บางประเด็นที่สำคัญในช่วงแรก เช่น ปมครอบครัวของ เจย์ หรือบทบาทของป้าที่ดูแลเขา กลับถูกทอดทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย
ประเด็นที่ค้างคา: ธีมหลักของการที่คนหนึ่งแกล้งป่วยและอีกคนป่วยจริง แม้จะน่าสนใจในแง่ทฤษฎี แต่กลับไม่ถูกพัฒนาให้ถึงขีดสุดเท่าที่ควร การที่ เจย์ ต้องรับมือกับการสารภาพความจริงและผลที่ตามมานั้น ถูกนำเสนออย่างยาวนานและทำให้ภาพยนตร์เสียจังหวะไปบ้าง
“Lovesick (2025)” หรือ “รักในคำลวง” คือภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่าวัยรุ่นที่เริ่มต้นได้อย่างแข็งแกร่งและมีเคมีของนักแสดงนำที่น่าประทับใจ การนำเสนอธีมของการใช้ ‘คำโกหก’ เป็นเกราะกำบังในโลกวัยเรียนนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเข้าถึงได้ง่าย
แม้จะมีข้อบกพร่องในบทสรุปที่ดูยืดเยื้อและขาดความสมดุลไปบ้าง แต่ด้วยการแสดงที่มีเสน่ห์ของ Zhan Huai-yun และ Victoria Chiang รวมถึงสไตล์การกำกับที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของ Hsu Fu-Hsiang ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงเป็นหนึ่งในหนังรักในโรงเรียนที่มีรสชาติจัดจ้านและคุ้มค่าแก่การรับชมสำหรับแฟน ๆ หนังแนวนี้ครับ/ค่ะ 🎬 บทสรุป: ดราม่าวัยเรียนที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยเคมีที่เข้ากัน แต่บทสรุปที่ยืดเยื้อทำให้รสชาติของหนังเจือจางลงไปบ้าง คุณอยากให้เราแนะนำภาพยนตร์แนว ‘Campus Romance’ ยอดนิยมของไต้หวันเรื่องอื่น ๆ ที่มีปมดราม่าคล้ายกันไหมครับ movie24hd