

Baaghi 4 (2025) หลังจากรอดชีวิตจากความพยายามฆ่าตัวตายบนรถไฟ ชายผู้โศกเศร้าโศกต้องเผชิญกับความวุ่นวายเมื่อความจริงเลือนราง คนที่เขารักต่างตั้งคำถามว่าอะไรคือความจริง ขณะที่ความจริงที่ซ่อนอยู่ดึงเขาเข้าสู่วังวนแห่งความหลงใหลและความรักที่ยั่งยืน
ก่อนจะไปพูดถึงภาค 4 เราต้องปูพื้นฐานความยิ่งใหญ่ของแฟรนไชส์นี้กันสักนิด สำหรับแฟนหนังหน้าใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการหนังอินเดีย คำว่า “Baaghi” ในภาษาฮินดีแปลว่า “กบฏ” หรือผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ความอยุติธรรม จุดเด่นของหนังชุดนี้คือการนำเสนอตัวละครเอกชื่อ “รอนนี่” (Ronnie) ชายหนุ่มผู้มีทักษะการต่อสู้เป็นเลิศ รักใครรักจริง และพร้อมจะทำลายล้างทุกคนที่มาแตะต้องคนที่เขารัก และใน Baaghi 4 (2025) สเกลของหนังไม่ได้เล็กลงเลย แต่มันเปลี่ยนโฟกัสจาก “ความเวอร์วัง” มาสู่ “ความสมจริงที่เจ็บปวด” มากขึ้น ภายใต้การกำกับของ A. Harsha ผู้กำกับวิสัยทัศน์ไกลจากฝั่งกรรณาดะ ที่เข้ามารับไม้ต่อเพื่อสร้างตำนานบทใหม่
Baaghi 1: เน้นเรื่องราวความรักและการต่อสู้เพื่อแย่งชิงนางเอก ผสมผสานศิลปะการต่อสู้แบบ Kalaripayattu
Baaghi 2: พลิกโฉมสู่ความดุดันแบบทหารหน่วยรบพิเศษ กับภารกิจตามหาคนหายที่หักมุมจนคนดูอ้าปากค้าง
Baaghi 3: ยกระดับสเกลไปสู่สงครามระหว่างประเทศ เมื่อรอนนี่ต้องไปช่วยพี่ชายถึงซีเรีย สู้กับรถถังและเฮลิคอปเตอร์ด้วยมือเปล่า
เรื่องราวในภาคนี้ รอนนี่ (Tiger Shroff) ได้ปลีกตัวออกจากวงการทหารและการต่อสู้ หันมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในเมืองเล็กๆ ชายขอบประเทศ เขาพยายามลืมอดีตที่เต็มไปด้วยเลือดและคราบน้ำตา โดยมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือการดูแลครอบครัวที่เหลืออยู่แต่โชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อเมืองที่เขาอาศัยอยู่ตกเป็นเป้าหมายของ “The Syndicate” องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่นำโดย ราชิต (ตัวร้ายหลักของเรื่อง) ผู้ซึ่งต้องการเปลี่ยนเมืองนี้ให้กลายเป็นฐานการผลิตอาวุธเถื่อนและยาเสพติดราชิตใช้อำนาจเงินซื้อเจ้าหน้าที่รัฐ
และใช้ความรุนแรงกดขี่ชาวบ้านจุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนสนิทของรอนนี่ ซึ่งเป็นนักข่าวท้องถิ่นที่พยายามเปิดโปงเรื่องนี้ ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา และกฎหมายกลับไม่สามารถเอาผิดผู้กระทำได้ ความโกรธแค้นที่ถูกกดทับมานานจึงปะทุขึ้น“รอนนี่ไม่ได้เริ่มสงครามครั้งนี้… แต่เขาจะเป็นคนจบมัน”ภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่แค่การไปช่วยคน แต่เป็นการ “ล้างบาง” รอนนี่ต้องงัดทุกทักษะการสังหารที่เขามี ออกมาใช้ในรูปแบบศาลเตี้ย (Vigilante) การต่อสู้ลามไปตั้งแต่ตรอกซอกซอยสกปรก ไปจนถึงตึกระฟ้าในมหานครใหญ่ และจบลงที่ฐานทัพลับกลางป่าดิบชื้น
ในวัย 35 ปี (ปี 2025) Tiger Shroff ดูสุขุมและแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเขาในภาคนี้ดูลีนและเต็มไปด้วยบาดแผล ซึ่งสะท้อนถึงผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน
จุดเด่นการแสดง: สิ่งที่พัฒนาขึ้นชัดเจนคือ “แววตา” ภาคนี้รอนนี่พูดน้อยลง แต่สายตาที่มองศัตรูนั้นอำมหิตขึ้น การแสดงอารมณ์ดราม่าสูญเสียทำได้ลึกซึ้ง ทำให้คนดูเชื่อว่าทำไมเขาถึงต้องฆ่าคนเป็นร้อยเพื่อความยุติธรรม
หนังอินเดียจะขาดรสชาติถ้าขาดตัวร้ายที่สมน้ำสมเนื้อ ภาคนี้ได้นักแสดงสายฝีมือ (ขอสงวนนามเพื่อเซอร์ไพรส์ในหนัง) มารับบทหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่มีทักษะการต่อสู้ทัดเทียมกับพระเอก ไม่ใช่แค่นั่งสั่งการ แต่ลงมือสู้เองด้วย ทำให้ฉาก Final Fight เป็นหนึ่งในฉากที่ดีที่สุดของปี
แม้หนังจะเน้นขายไทเกอร์ แต่บทนางเอกในภาคนี้ไม่ได้มาเพื่อเป็นแค่ “สาวสวยรอความช่วยเหลือ” เธอมีบทบาทในการสืบสวนสอบสวนและช่วยเหลือพระเอกในเชิงกลยุทธ์ ทำให้หนังดูมีความทันสมัยและเคารพเพศหญิงมากขึ้น



ถ้าคุณคิดว่า Baaghi 3 เวอร์แล้ว Baaghi 4 จะทำให้คุณเปลี่ยนความคิด เพราะแทนที่จะเน้นระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบไร้เหตุผล ภาคนี้เน้น Combat Realism (ความสมจริงในการต่อสู้) ผสมผสานกับสไตล์ Hyper-Violence
Long-Take Sequence: มีฉากหนึ่งในหนังที่เป็นการถ่ายทำแบบ Long-take (เทคเดียวต่อเนื่อง) ยาวกว่า 7 นาที เป็นฉากที่รอนนี่บุกเข้าไปในเรือนจำร้างเพื่อชิงตัวพยาน ฉากนี้เราจะได้เห็นไทเกอร์ใช้อาวุธทุกอย่างที่หยิบฉวยได้ ตั้งแต่ถาดอาหาร โซ่ ไปจนถึงปากกา เพื่อจัดการศัตรูนับสิบคน มุมกล้องหมุนติ้วตามทิศทางการเตะต่อย สร้างความมึนงงและตื่นเต้นไปพร้อมกัน
Martial Arts: ภาคนี้มีการนำศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เราจะได้เห็นท่า Ground and Pound, ท่าล็อคคอ และการหักกระดูกที่ดูแล้วเจ็บแทน เสียงประกอบ (Sound Effect) เวลาหมัดกระทบเนื้อ หรือเสียงกระดูกลั่น ถูกมิกซ์มาอย่างดีเยี่ยม
Cinematography (งานภาพ): โทนสีของหนังปรับให้มีความ High Contrast จัดจ้าน เน้นสีแดงและดำเป็นหลัก เพื่อสื่อถึงความรุนแรงและอันตราย แตกต่างจากภาคก่อนๆ ที่ภาพจะดูสว่างและสดใสกว่า
ข้อดี (Pros)
Tiger Shroff คือของจริง: ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเขาคือเบอร์ 1 ด้านแอ็คชั่นของอินเดีย ความทุ่มเทในการเล่นฉากสตั๊นท์ด้วยตัวเองยังคงเป็นจุดขายที่หาตัวจับยาก
ความสะใจระดับ 10/10: สำหรับคนที่เครียดจากงาน หรืออยากหาอะไรดูเพื่อระบายอารมณ์ หนังเรื่องนี้ตอบโจทย์มาก การเห็นพระเอกกระทืบคนเลวแบบไม่ยั้งมือคือความบันเทิงบริสุทธิ์
การเดินเรื่องกระชับ: แม้หนังจะยาว แต่การตัดต่อทำได้รวดเร็ว ไม่มีช่วงน่าเบื่อ (Dead Air) มากนัก เพลงประกอบเร้าใจตลอดเวลา
ข้อเสีย (Cons)
บทภาพยนตร์ยังอ่อน: ตามสไตล์หนัง Masala (หนังรสแซ่บของอินเดีย) ตรรกะบางอย่างยังคงมีความ “อิหยังวะ” อยู่บ้าง เช่น พระเอกโดนยิงแต่ยังวิ่งปร๋อ หรือตำรวจที่มาช้าเสมอ
ความรุนแรง: ภาคนี้อาจจะรุนแรงเกินไปสำหรับผู้ชมบางกลุ่ม เลือดเป็นเลือด กระดูกทะลุ ใครที่ใจไม่แข็งอาจจะต้องปิดตาดูบางช่วง
Q1: ไม่เคยดู Baaghi 1, 2, 3 มาก่อน จะดูภาค 4 รู้เรื่องไหม?
A: ดูรู้เรื่องแน่นอนครับ 100% แฟรนไชส์ Baaghi เป็นลักษณะจบในตอน (Stand-alone) ตัวละคร “รอนนี่” ในแต่ละภาคคือคนละคนกัน เพียงแต่ใช้นักแสดงคนเดิมและชื่อเดิมเพื่อคงเอกลักษณ์ ดังนั้นคุณสามารถเริ่มดูภาค 4 ได้เลยโดยไม่ต้องทำการบ้านมาก่อนครับ
Q2: หนังมีความยาวเท่าไหร่?
A: หนังมีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมง 25 นาที ซึ่งเป็นความยาวมาตรฐานของหนังอินเดีย โดยแบ่งเป็นช่วงปูเรื่อง 30 นาที และที่เหลือคือแอ็คชั่นแบบ Non-stop ครับ
Q3: มีฉากเต้นไหม?
A: ขึ้นชื่อว่าหนังอินเดีย ยังไงก็ต้องมีครับ! แต่ในภาคนี้ฉากเต้น (Item Song) จะถูกใส่เข้ามาอย่างมีจังหวะจะโคน ไม่ขัดอารมณ์หนัง โดยเพลงโปรโมทหลักมีจังหวะที่ดุดัน ปลุกใจ มากกว่าจะมาเต้นจีบกันหวานแหววเหมือนภาคแรกๆ
Q4: ดูได้ที่ไหนบ้างนอกจากโรงภาพยนตร์?
A: ปัจจุบันหนังยังอยู่ในช่วงฉายโรงและลงแพลตฟอร์ม Streaming เฉพาะกลุ่ม แต่ทาง Movie24HD ได้รวบรวมลิงก์รับชมที่ดีที่สุดมาให้คุณแล้ว สามารถเข้าไปค้นหาในเว็บได้เลยครับ
Q5: มีฉาก End Credit หรือไม่?
A: มีครับ! ห้ามลุกเด็ดขาด มีฉาก Mid-credit 1 ฉาก ที่บอกใบ้ถึงศัตรูคนใหม่ที่อาจจะโหดกว่าเดิม และอาจมีการ Crossover กับหนังเรื่องอื่นในจักรวาลของผู้กำกับด้วย