รีวิวหนัง Dark Phoenix (2019) X-เม็น : ดาร์ก ฟีนิกซ์

seosaveพฤศจิกายน 14, 2025

รีวิวหนัง Dark Phoenix (2019) X-เม็น : ดาร์ก ฟีนิกซ์

ปัจฉิมบทแห่งโศกนาฏกรรมที่มิอาจเปล่งประกาย

รีวิวหนัง Dark Phoenix (2019) X-เม็น : ดาร์ก ฟีนิกซ์ ในจักรวาลภาพยนตร์ที่อุดมไปด้วยมหากาพย์และการต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่ง, แฟรนไชส์ X-Men ของค่าย 20th Century Fox (ในขณะนั้น) ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักที่บุกเบิกแนวทางซูเปอร์ฮีโร่บนจอเงินมาตั้งแต่ปี 2000 การเดินทางยาวนานเกือบสองทศวรรษได้สร้างตัวละครที่เป็นที่รักและนำเสนอประเด็นทางสังคมที่ลึกซึ้งภายใต้หน้ากากของมนุษย์กลายพันธุ์ เมื่อ X-Men: Dark Phoenix (2019) ของผู้กำกับ ไซมอน คินเบิร์ก (Simon Kinberg) ถูกประกาศสร้าง, มันจึงไม่ได้เป็นเพียงภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่อง แต่คือความคาดหวังในการเป็น “ปัจฉิมบท” ที่สง่างามของทีมนักแสดงยุคใหม่ (นำโดย James McAvoy และ Michael Fassbender) และยังเป็นการพยายามครั้งที่สองในการดัดแปลง “The Dark Phoenix Saga” ซึ่งเป็นหนึ่งในเนื้อหาการ์ตูนที่ทรงอิทธิพลที่สุด ให้สมบูรณ์แบบ หลังจากความผิดพลาดใน X-Men: The Last Stand (2006)!

อย่างไรก็ตาม Dark Phoenix กลับกลายเป็นบทสรุปที่ทั้งแผ่วเบาและน่าสับสน มันคือภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานเชิงอารมณ์ แต่กลับถูกบดบังด้วยการเล่าเรื่องที่เร่งรีบ, การพัฒนาตัวละครที่ตื้นเขิน และการตัดสินใจที่น่ากังขาในการปรับขนาดของมหากาพย์ระดับจักรวาลให้กลายเป็นเพียง драม่าครอบครัวที่แตกสลาย บทวิจารณ์ฉบับนี้ จะทำการวิเคราะห์และวิพากษ์องค์ประกอบหลักสามประการ ได้แก่ เนื้อเรื่อง (การเล่าเรื่องและโครงสร้าง), ภาพ (งานภาพและเทคนิคพิเศษ), และการแสดงของนักแสดง เพื่อสืบค้นว่าเหตุใดเปลวเพลิงแห่งฟีนิกซ์ในครั้งนี้ จึงมอดดับลงก่อนที่จะได้ลุกโชนอย่างเต็มศักยภาพ

การวิเคราะห์ เนื้อเรื่อง (Narrative & Thematic Analysis)

รีวิวหนัง Dark Phoenix (2019) X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์

จุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของ Dark Phoenix อยู่ที่แกนกลางของมัน นั่นคือ “บทภาพยนตร์” (Screenplay) ที่ล้มเหลวในการสร้างรากฐานทางอารมณ์ที่มั่นคงพอที่จะรองรับโศกนาฏกรรมที่ตั้งใจไว้

ความทะเยอทะยานที่ถูกบีบอัด! ปัญหาหลักประการแรกคือ “อัตราการเล่าเรื่อง” (Pacing) ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วเกินไปจนน่าตกใจ องค์ประกอบสำคัญที่ควรใช้เวลาในการค่อยๆ สร้าง (Build-up) กลับถูกนำเสนอและคลี่คลายอย่างรวบรัด เหตุการณ์ในอวกาศที่ทำให้ จีน เกรย์ (Jean Grey) ได้รับพลังฟีนิกซ์, การสูญเสียการควบคุมครั้งแรก, และการแตกหักครั้งสำคัญของทีม X-Men (การเสียชีวิตของตัวละครหลัก) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในองก์แรกของภาพยนตร์ การเร่งรีบนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเชื่อมโยงของผู้ชม! ในขณะที่เจตนาของผู้กำกับคินเบิร์กชัดเจนว่าต้องการสร้างภาพยนตร์ที่ “เน้นตัวละคร” (Character-driven) และ “อิงตามความเป็นจริง” (Grounded) มากกว่าภาคก่อนอย่าง Apocalypse, เขาละเลยความจริงที่ว่า “The Dark Phoenix Saga” ในต้นฉบับนั้น ยิ่งใหญ่ได้เพราะมันคือการเดินทางที่ยาวนานของการเสื่อมสลายทางศีลธรรม มันต้องการพื้นที่และเวลาให้ตัวละครได้หายใจ, ได้ผิดพลาด, และได้ทนทุกข์ แต่ใน Dark Phoenix กระบวนการ “มืดมน” ของจีน เกรย์ ไม่ได้รู้สึกเหมือนการค่อยๆ ถูกพลังครอบงำ แต่มันรู้สึกเหมือน “สวิตช์” ที่ถูกปิด-เปิด มากกว่า

โศกนาฏกรรมที่ขาดน้ำหนักทางอารมณ์! แก่นของเรื่องคือการที่จีนต้องต่อสู้กับบาดแผลในอดีต (Trauma) ที่ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับพลังใหม่ และการที่ “ครอบครัว” X-Men ต้องรับมือกับผลที่ตามมา บทภาพยนตร์พยายามสำรวจธีมของ “การโกหกเพื่อปกป้อง” ผ่านตัวละคร ชาร์ลส์ ซาเวียร์ (Charles Xavier) ที่ยอมรับว่าเขาได้ปิดกั้นความทรงจำอันเจ็บปวดของจีนไว้ นี่คือแนวคิดที่ทรงพลังมาก มันตั้งคำถามถึงจริยธรรมของชาร์ลส์ และทำให้เขาเป็นตัวละครสีเทาที่น่าสนใจ! ทว่า ภาพยนตร์กลับไม่สามารถขยี้ประเด็นนี้ได้ลึกพอ การเผชิญหน้าระหว่างจีนและชาร์ลส์ขาดความซับซ้อนทางอารมณ์ที่ควรจะเป็น มันกลายเป็นการโต้เถียงที่จบลงด้วยความรุนแรงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกัน การเสียชีวิตของ มิสทีค (Mystique) ซึ่งควรจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สะเทือนใจที่สุดของเรื่อง กลับรู้สึกเบาหวิวและถูกใช้เป็นเพียง “เครื่องมือทางพล็อต” (Plot Device) เพื่อขับเคลื่อนให้ตัวละครอื่นๆ (โดยเฉพาะ บีสต์ และ แม็กนีโต) มีเหตุผลในการกระทำต่อไป แทนที่จะเป็นการไว้อาลัยอย่างสมเกียรติ

การลดทอนมหากาพย์สู่ความธรรมดาสามัญ! การตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในเชิงโครงเรื่อง คือการนำเสนอตัวร้ายหลักเผ่าพันธุ์ D’Bari ที่นำโดย วุค (Vuk) (รับบทโดย Jessica Chastain) ในฉบับการ์ตูน พลังฟีนิกซ์คือพลังคอสมิกที่ทำลายดวงดาวและถูกตัดสินโดยเผ่าพันธุ์ขั้นสูงอย่าง Shi’ar แต่ในภาพยนตร์ มันถูกลดทอนให้กลายเป็นเพียง “แหล่งพลังงาน” ที่กลุ่มเอเลี่ยนกลุ่มหนึ่งต้องการเพื่อฟื้นฟูเผ่าพันธุ์ของตน! ตัวละครของ Chastain นั้นว่างเปล่า ปราศจากมิติ หรือแรงจูงใจที่น่าสนใจ เธอทำหน้าที่เพียงแค่กระซิบยุยงจีน เกรย์ การมีอยู่ของพวกเขาทำให้สเกลของเรื่องหดเล็กลง จากมหากาพย์การต่อสู้กับพลังระดับพระเจ้าภายในจิตใจ กลายเป็นเพียงการต่อสู้แย่งชิง “แมคกัฟฟิน” (MacGuffin) ที่ซ้ำซากจำเจ! เนื้อเรื่องของ Dark Phoenix จึงเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวในการปรับสมดุล มันต้องการเป็นดราม่าจิตวิทยาที่มืดมน แต่ก็ยังต้องยึดติดกับโครงสร้างของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่บล็อกบัสเตอร์ ผลลัพธ์คือเรื่องเล่าที่ขาดทั้งความลึกซึ้งทางอารมณ์ของดราม่า และขาดทั้งความตื่นตาตื่นใจของมหากาพย์

การวิเคราะห์ “ภาพ” (Visuals, Cinematography & Special Effects)

ในด้านงานภาพและเทคนิคพิเศษ Dark Phoenix มีทั้งจุดที่น่าชื่นชมและจุดที่น่าผิดหวังปะปนกันไป มันสะท้อนถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างความตั้งใจที่จะ “สมจริง” กับความจำเป็นที่จะต้อง “อลังการ”

สุนทรียศาสตร์ที่มืดมนและงานกล้อง

ผู้กำกับภาพ เมาโร ฟิโอเร (Mauro Fiore) เลือกใช้โทนสีที่หม่นหมอง (Desaturated) และมืดกว่าภาคก่อนๆ อย่างชัดเจน แสงและเงาถูกใช้เพื่อสะท้อนสภาวะจิตใจที่แตกสลายของจีน เกรย์ การถ่ายภาพเน้นไปที่การโคลสอัพใบหน้าของนักแสดงเพื่อจับอารมณ์ ซึ่งสอดคล้องกับความตั้งใจที่จะเป็นภาพยนตร์ที่เน้นดราม่า

อย่างไรก็ตาม สไตล์ “Grounded” นี้กลับขัดแย้งกับธรรมชาติของเนื้อหา ในหลายฉาก โดยเฉพาะฉากที่ควรจะแสดงถึงพลังคอสมิกอันยิ่งใหญ่ ภาพที่ออกมากลับรู้สึก “อับ” และขาดจินตนาการ มันพยายามจะเป็น Logan (2017) แต่กลับลืมไปว่านี่คือเรื่องราวของพลังฟีนิกซ์

เทคนิคพิเศษ (VFX): ความดีงามที่ถูกจำกัด! งาน Visual Effects คือจุดที่ภาพยนตร์ทำได้ดีที่สุดในบางส่วน พลังฟีนิกซ์ที่แสดงผลออกมาเป็น “เปลวไฟสุริยะ” (Solar Flare) ที่บิดเบือนความเป็นจริงรอบตัวจีนนั้น ดูทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน ฉากในอวกาศช่วงต้นเรื่องถูกสร้างขึ้นอย่างน่าเชื่อถือและมีความตึงเครียด! จุดที่ต้องยกย่องเป็นพิเศษคือ “ฉากไคลแมกซ์บนรถไฟ” (The Train Sequence) นี่คือฉากแอ็กชันที่ออกแบบมาได้ดีที่สุดในภาพยนตร์ทั้งเรื่อง มันแสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันของทีม X-Men ที่เหลืออยู่ การใช้พลังของแต่ละคน (โดยเฉพาะแม็กนีโตและสตอร์ม) ในพื้นที่จำกัดนั้นมีความสร้างสรรค์และน่าตื่นเต้น มันคือจลนศาสตร์ (Kinetics) ของการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม! กระนั้น ฉากไคลแมกซ์สุดท้ายที่จีนปลดปล่อยพลังทั้งหมดกลับน่าผิดหวัง มันจบลงอย่างรวดเร็วและขาดผลกระทบทางสายตาที่ควรค่าแก่การเป็น “ดาร์ก ฟีนิกซ์” พลังทำลายล้างระดับจักรวาลที่ถูกกล่าวถึง กลับดูเหมือนการระเบิดขนาดใหญ่ธรรมดาๆ เท่านั้น

ดนตรีประกอบ: เสียงโหมกระหน่ำที่ไร้ท่วงทำนอง! การได้ ฮานส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer) กลับมาทำดนตรีประกอบควรจะเป็นข่าวดี แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ดนตรีของเขาทรงพลัง, หนักแน่น, และเต็มไปด้วยเสียงเพอร์คัชชันที่กดดัน แต่มันกลับขาด “ธีม” (Theme) ที่น่าจดจำ โดยเฉพาะธีมของ “ฟีนิกซ์” เอง มันทำหน้าที่สร้างบรรยากาศตึงเครียดได้ดี แต่ไม่สามารถยกระดับอารมณ์ของฉากได้อย่างที่ผลงานชิ้นเอกอื่นๆ ของเขาเคยทำไว้ มันกลายเป็นเสียงประกอบที่ดัง แต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ

การวิเคราะห์ “การแสดง” (Performances)

รีวิวหนัง Dark Phoenix (2019) X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์

เมื่อบทภาพยนตร์อ่อนแอ ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่นักแสดง และใน Dark Phoenix เราได้เห็นความพยายามอย่างยิ่งยวดของนักแสดงคุณภาพ ที่ต้องต่อสู้กับบทที่ขาดมิติ

โซฟี เทอร์เนอร์ (Sophie Turner) ในบท จีน เกรย์! นี่คือบทบาทที่ท้าทายที่สุดในอาชีพของเธอจนถึงปัจจุบัน เทอร์เนอร์ต้องแบกรับภาพยนตร์ทั้งเรื่องไว้บนบ่าของเธอ และเธอก็ทำได้ดีในขอบเขตที่บทเอื้ออำนวย เธอถ่ายทอดความสับสน, ความเจ็บปวด, และความหวาดกลัวต่อพลังที่เธอควบคุมไม่ได้ ได้อย่างน่าเชื่อถือ แววตาของเธอสื่อถึงความแตกสลายภายในได้ดี! อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดที่ตัวละครต้องแปรเปลี่ยนเป็น “ดาร์ก ฟีนิกซ์” ผู้เย่อหยิ่งและทรงพลัง เทอร์เนอร์กลับดูเหมือน “หลงทาง” เธอไม่สามารถถ่ายทอดความน่าเกรงขามหรือเสน่ห์อันชั่วร้ายของตัวตนนั้นออกมาได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบทไม่ได้ปูทางให้เธอไปถึงจุดนั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเกินไป ทำให้การแสดงของเธอในช่วงครึ่งหลังของเรื่องดู “แบน” ลงอย่างเห็นได้ชัด

เจมส์ แม็กอะวอย (James McAvoy) และ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ (Michael Fassbender)! สองนักแสดงระดับแม่เหล็กยังคงเป็นจุดสว่างที่สุดของแฟรนไชส์นี้ แม็กอะวอย (ชาร์ลส์ ซาเวียร์) ได้รับบทที่น่าสนใจที่สุดในภาคนี้ เขากลายเป็น “แอนตี้-ฮีโร่” ที่ความเย่อหยิ่งและความผิดพลาดในอดีตนำไปสู่หายนะ แม็กอะวอยถ่ายทอดความรู้สึกผิด, ความอับอาย, และความสิ้นหวังของชาร์ลส์ได้อย่างยอดเยี่ยม! ฟาสเบนเดอร์ (แม็กนีโต) ยังคงเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด แม้ว่าบทของเขาในภาคนี้จะเป็นการ “ย่ำซ้ำ” (Retread) ธีมเดิมๆ (การล้างแค้น, การปกป้องเผ่าพันธุ์) แต่พลังดาราและความเข้มข้นในการแสดงของเขาก็ทำให้ทุกฉากที่เขาปรากฏตัวน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม พลวัตระหว่างเขากับชาร์ลส์ที่เคยเป็นหัวใจของแฟรนไชส์ ก็เริ่มรู้สึกซ้ำซากและหมดความสดใหม่ในภาคนี้

เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) และ เจสสิกา แชสเทน (Jessica Chastain)! เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับสองนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (มิสทีค) ดูเหมือนจะ “เบื่อหน่าย” กับบทบาทนี้อย่างชัดเจน การแสดงของเธอขาดพลังงาน และการที่ตัวละครของเธอถูกฆ่าทิ้งอย่างรวดเร็ว ก็สะท้อนถึงการไม่ให้เกียรติตัวละครที่เคยเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวใน First Class! ในขณะที่ เจสสิกา แชสเทน (วุค) คือการสูญเปล่าของทรัพยากรนักแสดงอย่างสมบูรณ์แบบ บทของเธอไร้มิติ, ไร้อารมณ์, และไร้ซึ่งความน่าจดจำ แชสเทนทำได้เพียงแค่ยืนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและจ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่า มันคือหนึ่งในตัวร้ายที่จืดชืดที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่

นักแสดงสมทบ: ผู้ถูกลืม! นิโคลัส โฮลต์ (Nicholas Hoult) ในบท บีสต์ ได้รับบทบาทที่มากขึ้นในภาคนี้จากแรงผลักดันเรื่องการล้างแค้น และเขาก็ทำได้ดี ในขณะที่นักแสดงรุ่นใหม่อย่าง ไท เชอริแดน (ไซคลอปส์), อเล็กซานดรา ชิปป์ (สตอร์ม), และ โคดี้ สมิท-แมคฟี (ไนท์ครอว์เลอร์) กลับถูกลดบทบาทลงจนแทบไม่ต่างจาก “ตัวประกอบ” พวกเขาไม่มีบทพูดที่น่าจดจำ และไม่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพใดๆ เลย นี่คือความล้มเหลวในการสานต่อตัวละครที่ปูทางมาตั้งแต่ Apocalypse

รีวิวหนัง Dark Phoenix (2019) X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์

บทสรุป: โศกนาฏกรรมแห่งความทะเยอทะยานที่ไปไม่ถึงฝั่ง

X-Men: Dark Phoenix (2019) คือภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยเจตนาที่ดี แต่กลับล้มเหลวในแทบทุกองค์ประกอบสำคัญของการสร้างภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ ความพยายามของ ไซมอน คินเบิร์ก ที่จะแก้ไขความผิดพลาดในอดีต (The Last Stand) ด้วยการสร้างดราม่าจิตวิทยาที่มืดมนและสมจริง กลับกลายเป็นการกระทำที่ “ผิดที่ผิดทาง”! เนื้อเรื่องที่เร่งรีบและบีบอัด ได้ทำลายน้ำหนักทางอารมณ์ของโศกนาฏกรรมที่ควรจะเป็น, งานภาพที่พยายามจะ “Grounded” กลับลดทอนสเกลความยิ่งใหญ่ของพลังระดับจักรวาล, และทีมนักแสดงที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ก็ไม่สามารถกอบกู้บทภาพยนตร์ที่อ่อนแอและเต็มไปด้วยตัวละครที่ไร้มิติได้! ในฐานะภาพยนตร์เดี่ยว Dark Phoenix คือผลงานที่น่าผิดหวัง แต่ในฐานะ “ปัจฉิมบท” ของแฟรนไชส์ X-Men ที่เดินทางมายาวนานเกือบ 20 ปี มันคือ “โศกนาฏกรรม” ที่แท้จริง มันคือการปิดฉากตำนานที่ควรจะดังกึกก้อง แต่กลับจบลงด้วยเสียงกระซิบที่แผ่วเบา เปลวเพลิงของฟีนิกซ์ในครั้งนี้ ไม่ได้ลุกโชนเพื่อเผาผลาญจักรวาล แต่กลับมอดไหม้ตัวเองลงอย่างเงียบงันและน่าเศร้า รับชมหนัง Dark Phoenix (2019) X-เม็น : ดาร์ก ฟีนิกซ์ได้ที่ movie24hd