รีวิวหนัง Joker (2019) โจ๊กเกอร์

seosaveธันวาคม 12, 2025

รีวิวหนัง Joker (2019) โจ๊กเกอร์

รีวิวหนัง Joker ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว แต่เป็นงานศิลปะที่ทำหน้าที่เป็น กระจกสะท้อน (Societal Mirror) ให้เราเห็นถึงความมืดหม่นที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความศิวิไลซ์ของเมืองก็อธแธม มันคือการเดินทางที่ยากจะลืมเลือนของ อาร์เธอร์ เฟล็ก (Arthur Fleck) ชายผู้ถูกสังคมปฏิเสธ ผู้พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโลก แต่กลับถูกผลักไสซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนำไปสู่การถือกำเนิดของสัญลักษณ์แห่งความโกลาหลที่โลกต้องจดจำภายใต้การกำกับของ ท็อดด์ ฟิลลิปส์ (Todd Phillips) ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ท้าทายขนบธรรมเนียมของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่และตัวร้ายแบบดั้งเดิม โดยการพาผู้ชมดำดิ่งลงไปในห้วงลึกของความเจ็บปวด ความเหงา และความบ้าคลั่งที่ค่อยๆ กัดกินตัวละครหลัก มันไม่ใช่เพียงแค่หนังแอ็กชัน แต่เป็น กรณีศึกษาทางจิตเวช ที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความประณีตและจริงจัง บทความรีวิวเชิงลึกนี้ จะพาคุณไปสำรวจสามเสาหลักที่ทำให้ Joker กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลและถูกพูดถึงมากที่สุดในรอบทศวรรษ: เนื้อเรื่องเชิงจิตวิทยาที่ซับซ้อน, งานภาพและดนตรีที่สร้างบรรยากาศบีบคั้น, และ การแสดงระดับออสการ์ของวาคีน ฟีนิกซ์

การวิเคราะห์เนื้อเรื่อง: ความเปราะบางของจิตใจ และการวิพากษ์สังคมที่เฉียบคม

 

เนื้อเรื่องของ Joker นั้นถูกวางโครงสร้างอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่การเรียงลำดับเหตุการณ์ แต่เป็นการประกอบสร้างสภาพแวดล้อมและเหตุปัจจัยที่บีบคั้นให้อาร์เธอร์ต้องเปลี่ยนไป จุดเด่นของเนื้อหาคือการใช้ ความกำกวม (Ambiguity) และการสำรวจประเด็นทางจิตวิทยาอย่างลึกซึ้ง

การล่มสลายของระบบสนับสนุน (The Failure of Support System)

 

หัวใจสำคัญของเนื้อเรื่องคือการแสดงให้เห็นว่า คนดีๆ คนหนึ่งสามารถกลายเป็นอะไรได้บ้างเมื่อถูกทอดทิ้ง อาร์เธอร์ เฟล็ก คือผู้ป่วยที่มีสภาวะทางจิตที่ต้องการยาและการบำบัดอย่างต่อเนื่อง แต่หนังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการตัดงบประมาณจากรัฐบาลเมืองก็อธแธม ซึ่งนำไปสู่การขาดการรักษาและยาที่จำเป็น นี่คือการวิพากษ์วิจารณ์ระบบสาธารณสุขของอเมริกาที่ล้มเหลวในการดูแลผู้ที่เปราะบางที่สุดในสังคม

  • ความสำคัญของไดอารี่ (Journal): สมุดบันทึกของอาร์เธอร์ไม่ใช่แค่ที่จดมุกตลก แต่เป็นพื้นที่เดียวที่เขาแสดงความเจ็บปวดและความสับสนของตัวเองได้อย่างซื่อตรง การล่มสลายของเขาจึงถูกบันทึกไว้ทีละหน้าอย่างน่าสะเทือนใจ

  • บทบาทของแม่: ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างอาร์เธอร์กับเพนนี แม่ของเขา เป็นเสาหลักที่เปราะบาง เมื่อเสาหลักนี้พังทลายลงพร้อมกับความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเขา โลกของอาร์เธอร์จึงพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ความจริงที่ว่าเขาเป็นเหยื่อของการถูกทารุณกรรมในวัยเด็กตอกย้ำความน่าสงสารของตัวละคร และทำให้ผู้ชมตั้งคำถามต่อความยุติธรรมในชีวิต

 

โรคหัวเราะที่ถูกเข้าใจผิด (The Pseudobulbar Affect)

 

อาการหัวเราะที่ควบคุมไม่ได้ของอาร์เธอร์ ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่า Pseudobulbar Affect (PBA) ไม่ได้เป็นเพียงลูกเล่นของบทเท่านั้น แต่มันคือ อาวุธร้ายที่สังคมใช้ทำร้ายเขา ทุกครั้งที่เขาพยายามสื่อสารอารมณ์ที่แท้จริง (ความเจ็บปวดหรือความเศร้า) สิ่งที่ออกมากลับเป็นเสียงหัวเราะที่น่าขนลุก ซึ่งทำให้ผู้คนรอบข้างเข้าใจผิด ดูถูก หรือแม้แต่หวาดกลัวเขา

  • การกลั่นแกล้ง (Bullying): การถูกกลั่นแกล้งซ้ำๆ ในที่ทำงาน บนรถไฟ และในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่คือการสะสมของ “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ค่อยๆ บ่มเพาะความเคียดแค้นและการปฏิเสธต่อโลก

  • การค้นพบตัวตนใหม่: เมื่ออาร์เธอร์ตระหนักว่าเขา “เกิดมาพร้อมกับรอยยิ้ม” และโลกมองว่าเขาเป็นตัวตลกอยู่แล้ว เขาจึงตัดสินใจ โอบรับ ความบ้าคลั่งนั้นอย่างเต็มที่ การฆ่าครั้งแรกบนรถไฟใต้ดินไม่ได้เป็นจุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงและเป็นอิสระของเขา

 

การลุกฮือของคนชายขอบ (The Rise of the Marginalized)

 

เนื้อเรื่องวางเมืองก็อธแธมให้อยู่ในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจและชนชั้นอย่างชัดเจน อาร์เธอร์ไม่ได้แค่ก่ออาชญากรรม แต่เขากลายเป็น สัญลักษณ์โดยไม่ได้ตั้งใจ ให้กับการลุกฮือของผู้คนที่รู้สึกถูกกดขี่และถูกลืม การกระทำของโจ๊กเกอร์กระตุ้นให้เกิดการจลาจลในเมือง ซึ่งเป็นเหมือนเสียงกรีดร้องของคนจนต่อชนชั้นสูงอย่างตระกูลเวย์น

  • Thomas Wayne: การนำเสนอ โทมัส เวย์น ในฐานะนักธุรกิจที่เย่อหยิ่งและดูถูกคนจน ยิ่งทำให้ความขัดแย้งทางชนชั้นชัดเจนขึ้น นี่คือการทำลายภาพลักษณ์ของฮีโร่ในอุดมคติ และแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ความดีก็มีมุมมองที่บิดเบือนได้

  • จุดสิ้นสุดและการยอมรับ: ฉากจบที่โจ๊กเกอร์ยืนหยัดอยู่บนรถตำรวจท่ามกลางฝูงชนที่สวมหน้ากากตลก ไม่ใช่ชัยชนะของอาชญากรรม แต่เป็นชัยชนะของ แนวคิด ที่ว่าทุกคนสามารถเป็นใครก็ได้เมื่อสังคมพังทลายลง

 งานภาพและเสียง: การสร้างบรรยากาศแห่งความมืดมนสไตล์ยุค 70s

 

งานภาพและองค์ประกอบทางเสียงของ Joker เป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากเนื้อเรื่อง มันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารอารมณ์และสภาพจิตใจของตัวละครได้อย่างทรงพลัง สุนทรียศาสตร์แบบยุค 70s (1970s Aesthetic) ท็อดด์ ฟิลลิปส์ และ ช่างภาพ ลอว์เรนซ์ เชอร์ (Lawrence Sher) จงใจใช้สไตล์ภาพยนตร์ในยุค 70s ที่อ้างอิงจากงานของ มาร์ติน สกอร์เซซี่ อย่าง Taxi Driver และ The King of Comedy

  • โทนสี: ภาพยนตร์เต็มไปด้วย โทนสีที่หมองหม่น (Muted, Desaturated Colors) สีน้ำตาล สีเทา และสีเขียวขี้ม้าของเมืองก็อธแธมที่สกปรก สร้างความรู้สึกของการถูกจองจำและความตกต่ำทางศีลธรรม มีเพียงสีแดงและสีส้มที่ฉูดฉาดของชุดโจ๊กเกอร์เท่านั้นที่โดดเด่นขึ้นมาในตอนท้าย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการ “ตื่นขึ้น” และการยอมรับในตัวตนใหม่

  • การใช้แสง: การใช้แสงธรรมชาติหรือแสงหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่สลัวๆ ในอพาร์ตเมนต์หรือโรงพยาบาล ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดและเงียบเหงา ในทางกลับกัน ฉากที่โจ๊กเกอร์แต่งหน้าเสร็จสมบูรณ์และเต้นรำบนบันไดนั้นกลับเต็มไปด้วยแสงสว่าง เป็นการประกาศการยอมรับในความบ้าคลั่งของตัวเองอย่างภาคภูมิ

การถ่ายทำที่เน้นความใกล้ชิด (Intimate Cinematography) กล้องมักจะจับภาพใบหน้าของอาร์เธอร์ในระยะใกล้ (Extreme Close-up) และ Medium Shot เพื่อให้ผู้ชมไม่สามารถละสายตาจากความทุกข์ทรมานที่ปรากฏบนใบหน้าของ วาคีน ฟีนิกซ์ ได้ การถ่ายทำแบบนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังหายใจรดต้นคอของตัวละครหลัก สัมผัสได้ถึงความอึดอัดและความไม่สบายใจที่เขารู้สึก

  • การเคลื่อนกล้อง: ในช่วงที่อาร์เธอร์รู้สึกโดดเดี่ยวหรือกำลังคิดอย่างหนัก กล้องมักจะอยู่นิ่งๆ หรือเคลื่อนไหวช้าๆ แต่เมื่อความบ้าคลั่งเริ่มครอบงำ (เช่น ฉากเต้นรำ) การเคลื่อนไหวของกล้องจะอิสระและเป็นจังหวะมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการปลดปล่อยจากพันธนาการทางจิต

ดนตรีประกอบที่บีบคั้น (The Power of the Score) ดนตรีประกอบโดย ฮิลดูร์ กุ๊ดนาโดว์ตีร์ (Hildur Guðnadóttir) คือหัวใจสำคัญของภาพยนตร์ และได้รับรางวัลออสการ์อย่างสมควร เพลงประกอบไม่ได้เป็นแค่ฉากหลัง แต่เป็น เสียงภายใน (Inner Voice) ของอาร์เธอร์

  • เชลโล่ (Cello): ดนตรีส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยเสียงเชลโล่ที่ทุ้มต่ำและหนักหน่วง มันส่งผ่านความเศร้า ความโดดเดี่ยว และความหนักอึ้งในจิตใจของอาร์เธอร์

  • จังหวะที่คลั่งไคล้: เมื่ออาร์เธอร์เริ่มเปลี่ยนผ่านเป็นโจ๊กเกอร์ ดนตรีจะเริ่มเปลี่ยนจากความเศร้าเป็นการเต้นรำที่ชวนประสาทเสีย (Manic Waltz) ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ชมรู้สึกถึงความตื่นเต้นปนหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

การแสดง: วาคีน ฟีนิกซ์ – บทบาทแห่งการทุ่มเทและการเปลี่ยนแปลง

 

การแสดงของ วาคีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) ในบทบาท อาร์เธอร์ เฟล็ก คือ หัวใจสำคัญ ที่ทำให้ Joker ยกระดับจากภาพยนตร์ที่ดีให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม มันไม่ใช่แค่การแสดง แต่เป็นการ เข้าถึงและยอมจำนน ต่อตัวละครอย่างแท้จริง ความทุ่มเททางร่างกาย (Physical Transformation)

  • การลดน้ำหนัก: การที่ ฟีนิกซ์ ลดน้ำหนักอย่างมากทำให้รูปร่างของเขาผอมโซและอ่อนแอ ซึ่งสะท้อนถึงทั้งความอดอยากทางกายและความอดอยากทางจิตใจของอาร์เธอร์ ร่างกายที่บอบบางทำให้การเคลื่อนไหวของเขาทั้งเปราะบางและน่ากลัวไปพร้อมกัน

  • ภาษาท่าทาง (Body Language): ท่าทางการเดินที่ห่อไหล่ ก้มหน้าในตอนต้น สะท้อนถึงการถูกกดขี่และแบกรับน้ำหนักของโลกทั้งใบไว้ แต่เมื่อเขากลายเป็นโจ๊กเกอร์ ท่าทางจะเปลี่ยนเป็นสง่างาม อิสระ และน่าเกรงขาม โดยเฉพาะ ท่าเต้นรำที่เย้ายวนและบ้าคลั่ง บนบันได ซึ่งเป็นการประกาศอิสรภาพครั้งสุดท้ายของเขา

  • เสียงหัวเราะ: เสียงหัวเราะของอาร์เธอร์มีหลายระดับ: หัวเราะที่เจ็บปวด (เมื่อพยายามห้ามตัวเองแต่ทำไม่ได้), หัวเราะที่ไร้อารมณ์ (เมื่อฝึกซ้อมหน้ากระจก), และ หัวเราะที่ชั่วร้าย (เมื่อกลายเป็นโจ๊กเกอร์อย่างสมบูรณ์) แต่ละระดับล้วนสื่อถึงความซับซ้อนของโรค PBA และสภาวะทางจิตของเขา

  • ดวงตาที่ว่างเปล่า: ในหลายฉาก ดวงตาของฟีนิกซ์สะท้อนความว่างเปล่าและความสับสนอย่างลึกซึ้ง มันคือดวงตาที่มองหาความรักและความเข้าใจ แต่กลับพบเพียงการปฏิเสธ ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจแม้กระทั่งในฉากที่เขาก่อความรุนแรง

การเผชิญหน้ากับ Robert De Niro ฉากไคลแม็กซ์ที่อาร์เธอร์ไปออกรายการ ‘The Murray Franklin Show’ (นำแสดงโดย โรเบิร์ต เดอ นีโร) คือจุดสูงสุดของการแสดงและเนื้อเรื่อง เดอ นีโร ในบทบาท เมอร์เรย์ แฟรงคลิน เป็นตัวแทนของสังคมกระแสหลักและสื่อที่ดูถูกเหยียดหยามอาร์เธอร์

  • การปะทะ: การเผชิญหน้าระหว่าง อาร์เธอร์/โจ๊กเกอร์ กับ เมอร์เรย์ คือการปะทะกันทางชนชั้น ความจริง และการรับรู้ โจ๊กเกอร์ใช้เวทีนี้ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่ไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายในตอนแรก แต่เป็นการเรียกร้องให้โลกเห็นคุณค่าของเขา ก่อนที่มันจะกลายเป็นการปลดปล่อยความโกรธแค้นสุดท้าย

 

การสรุปและผลกระทบของ Joker ต่อวงการภาพยนตร์

 

รีวิวหนัง Joker  ไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่เป็นภาพยนตร์ที่กระตุ้นให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม จิตเวช และจริยธรรม มันประสบความสำเร็จอย่างมากเพราะมันทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายใจ และบังคับให้เราต้องมองไปยังด้านมืดที่มักถูกซ่อนไว้ในสังคมของเรา

  • มิติของตัวร้าย: Joker ได้เพิ่มมิติใหม่ให้กับตัวร้ายในภาพยนตร์ โดยแสดงให้เห็นว่าอาชญากรผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้ถือกำเนิดจากความชั่วร้ายล้วนๆ แต่เป็นผลมาจากการทำลายของสภาพแวดล้อมและระบบที่ล้มเหลว

  • ความกล้าหาญในการสร้างสรรค์: การที่ Warner Bros. ยอมให้ ท็อดด์ ฟิลลิปส์ สร้างภาพยนตร์เรต R ที่มืดมนและเป็นอิสระจากจักรวาลหลัก ถือเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาพยนตร์ที่สร้างจากตัวละครคอมิกสามารถเป็นงานศิลปะที่จริงจังได้

บทสรุปสำหรับผู้ชม

 

หากคุณยังไม่เคยดู Joker (2019) โจ๊กเกอร์ หรือกำลังจะดูซ้ำ โปรดเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางที่หนักหน่วงและท้าทายจิตใจ นี่คือภาพยนตร์ที่คุณจะต้องใช้เวลาคิดตามหลังจากที่เครดิตจบลงแล้ว มันจะฝังอยู่ในความรู้สึกของคุณ และจะทำให้คุณตระหนักว่า: ในสังคมที่เพิกเฉยต่อความทุกข์ยาก โจ๊กเกอร์อาจไม่ใช่ตัวร้ายที่ถูกสร้างขึ้น แต่เป็นเสียงที่ดังขึ้นมาจากการถูกทำลายภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่คอหนังทุกคนต้องดู และแน่นอนว่าสามารถค้นหารายละเอียดและช่องทางการรับชมเพิ่มเติม รวมถึงภาพยนตร์คุณภาพอื่นๆ ได้ที่เว็บไซต์ของเรา movie24hd.netตลอดเวลาครับ!