รีวิวหนัง Skiptrace (2016) คู่ใหญ่สั่งมาฟัด เมื่อตะวันออกบรรจบตะวันตกในมหากาพย์การเดินทางแห่งการไถ่บาป! ในทำเนียบภาพยนตร์แอ็กชันคอมเมดี้ระดับโลก ชื่อของ “เฉินหลง” หรือ แจ็คกี้ ชาน (Jackie Chan) ยืนตระหง่านในฐานะสถาปนิกผู้บุกเบิกการผสมผสานศิลปะการต่อสู้เข้ากับอารมณ์ขันเชิงสถานการณ์อย่างมีเอกลักษณ์ และสำหรับ Skiptrace (2016) หรือในชื่อไทย คู่ใหญ่สั่งมาฟัด ผลงานการกำกับของ เรนนี่ ฮาร์ลิน (Renny Harlin) ผู้กำกับมือฉมังจากยุคทองของฮอลลีวูด (อาวุธจาก Die Hard 2) ถือเป็นการกลับมาตอกย้ำอิทธิพลของภาพยนตร์แนว “Buddy Cop” (คู่หูต่างขั้ว) ที่ข้ามพ้นพรมแดนทางวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์
Skiptrace มิได้เป็นเพียงภาพยนตร์ที่มุ่งเน้นความบันเทิงแบบฉาบฉวย ทว่ามันคือการนำเสนอ “Road Movie” (ภาพยนตร์แนวเดินทาง) ที่ใช้ทัศนียภาพอันตระการตาจากมองโกเลียสู่มาเก๊า เป็นฉากหลังในการสำรวจมิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์ และการสะท้อนภาพลักษณ์ของวีรบุรุษที่กำลังโรยราแต่ยังคงยึดมั่นในหลักการ บทวิพากษ์ฉบับนี้จะเจาะลึกองค์ประกอบทางศิลป์อย่างละเอียด ทั้งในมิติของเนื้อเรื่องที่รื้อสร้างความสัมพันธ์ข้ามวัฒนธรรม, สุนทรียศาสตร์ทางภาพที่เฉลิมฉลองความหลากหลายของเอเชีย และการแสดงที่พึ่งพาเคมีที่แตกต่างอย่างลงตัว

ความน่าสนใจประการแรกของบทภาพยนตร์ Skiptrace คือการวางโครงสร้างแบบ “การเดินทางเพื่อการชำระบาปและการค้นพบ” (Journey of Redemption and Discovery) โดยใช้ปมความแค้นในอดีตและการสืบสวนคดีอาชญากรรมข้ามชาติเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
พลวัตของคู่หูต่างขั้ว: ระเบียบ ปะทะ ความโกลาหล (Order vs. Chaos)
เนื้อเรื่องวางรากฐานตัวละคร “เบนนี่ แชน” (เฉินหลง) ตำรวจฮ่องกงผู้ยึดมั่นในกฎระเบียบและแบกรับความรู้สึกผิดจากการสูญเสียคู่หู ให้ต้องมาผนึกกำลังกับ “คอนเนอร์ วัตต์ส” (จอห์นนี่ น็อกซ์วิลล์) นักพนันจอมกะล่อนชาวอเมริกัน:
การปะทะกันของอุดมการณ์: บทภาพยนตร์ฉลาดในการสร้างความขัดแย้งเชิงคุณค่า ระหว่างความจงรักภักดีแบบตะวันออก (Eastern Loyalty) และการเอาตัวรอดแบบปัจเจกนิยมตะวันตก (Western Individualism) การเดินทางจากที่ราบสูงในมองโกเลียผ่านหุบเขาและแม่น้ำในจีน จนถึงแสงสีของมาเก๊า มิใช่เพียงการหนีจากศัตรู แต่เป็นการ “ขัดเกลาตัวตน” ของกันและกัน
การบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น: เนื้อเรื่องสอดแทรกประเพณีและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในเอเชียได้อย่างแนบเนียน (เช่น เทศกาลโคลน หรือการร้องเพลงพื้นเมือง) ซึ่งทำหน้าที่เป็นมากกว่าเพียงฉากหลัง แต่เป็นเครื่องมือในการละลายพฤติกรรมของตัวละครและสร้างอารมณ์ร่วมให้แก่ผู้ชมระดับสากล
นวัตกรรมของ “ความฟัด” (The Jackie Chan Formula Revisited)
แม้จะเป็นพล็อตเรื่องที่ดูคุ้นเคย แต่การเขียนบทในส่วนของฉากแอ็กชันยังคงรักษามาตรฐานความ “ฟัด” ที่เปลี่ยนสิ่งของรอบตัวให้กลายเป็นอาวุธ สารัตถะที่ภาพยนตร์สื่อสารคือ การแก้ไขปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต บางครั้งมักไม่ได้มาจากความแข็งแกร่งของกำลังพล แต่มาจาก “ความเข้าใจและการยอมรับในความต่าง” ของผู้ที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน

งานด้านสุนทรียศาสตร์ของ Skiptrace คือการเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ของภูมิศาสตร์เอเชียผ่านมุมมองที่โอ่อ่าแบบภาพยนตร์ฮอลลีวูด โดยผู้กำกับภาพ อึ้ง ม่าน-ชิง (Ng Man-ching) ได้สร้างภาษาภาพที่เน้นความสว่างไสวและพลังงานที่พุ่งพล่าน
สุนทรียศาสตร์แห่งการเดินทาง (The Aesthetics of the Road)
งานภาพในภาพยนตร์เรื่องนี้มีความโดดเด่นในการใช้ “พื้นที่” (Space) เพื่อสื่ออารมณ์:
ทัศนียภาพกว้างไกล (Wide Angle Splendor): ฉากที่ถ่ายทำในมองโกเลียและเทือกเขาหิมะใช้การจัดวางองค์ประกอบภาพแบบ Panorama เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตัวเล็กของมนุษย์ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ เทคนิคนี้ช่วยยกระดับหนังแอ็กชันให้มีความเป็น “มหากาพย์” (Epic) มากยิ่งขึ้น
การจัดการแสงและสี (Color Palette): ภาพยนตร์ใช้โทนสีที่สดใสและจัดจ้าน (Vibrant) เพื่อสะท้อนถึงพลังงานของตัวละครและบรรยากาศที่สนุกสนาน แสงแดดสีทองบนทุ่งหญ้าตัดกับชุดพื้นเมืองที่มีสีสันสดใส สร้างความตื่นตาตื่นใจทางทัศนศิลป์ที่ช่วยกลบความตึงเครียดของเส้นเรื่องอาชญากรรม
นาฏกรรมของการเคลื่อนไหว: ในฉากแอ็กชัน เรนนี่ ฮาร์ลิน ใช้การเคลื่อนกล้องที่ลื่นไหลและการตัดต่อที่กระฉับกระเฉงแต่ยังคงความต่อเนื่อง (Fluidity) ทำให้ผู้ชมสามารถติดตามท่วงท่าการต่อสู้ที่ซับซ้อนของเฉินหลงได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่แฟนภาพยนตร์ถวิลหา
การใช้โดรนและมุมกล้องเบื้องสูง
การนำเทคโนโลยีการถ่ายภาพทางอากาศมาใช้อย่างเข้มข้นในฉากล่องแพตามลำแม่น้ำ หรือการข้ามพรมแดน เป็นการสร้างประสบการณ์การรับชมที่อลังการ สื่อถึงความเป็นอิสระและการหลบหนีออกจากพันธนาการของเมืองใหญ่
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Skiptrace ก้าวข้ามผ่านการเป็นเพียงหนังแอ็กชันเกรดบี คือการแสดงที่เปี่ยมด้วยบารมีของนักแสดงนำและการรับส่งอารมณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่ดูไม่น่าเป็นไปได้กลับมามีชีวิต
เฉินหลง (Jackie Chan): ภาวะผู้นำที่นุ่มนวลและสรีระที่เป็นตำนาน
ในวัยที่ก้าวเข้าสู่ปัจฉิมวัยของการเป็นนักแสดงแอ็กชัน เฉินหลงยังคงมอบการแสดงที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ:
การแสดงออกเชิงตลกทางกายภาพ (Visual Comedy): เฉินหลงไม่ได้เพียงแค่ต่อสู้ แต่เขาสื่อสารอารมณ์ผ่านความเจ็บปวดที่ดูขบขัน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งประสบการณ์ช่วยให้ตัวละคร “เบนนี่” ดูมีความลึกซึ้งในฐานะชายผู้แบกความผิดบาป แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังคงความอ่อนน้อมและเป็นมิตรซึ่งเป็นเสน่ห์ส่วนตัวที่ยากจะหาใครเลียนแบบได้
วุฒิภาวะทางการแสดง: ในฉากดราม่า เฉินหลงแสดงให้เห็นถึงความนิ่งสุขุมและการส่งต่อแรงบันดาลใจให้แก่ตัวละครรุ่นน้องได้อย่างสง่างาม
จอห์นนี่ น็อกซ์วิลล์ (Johnny Knoxville): ความกะล่อนที่น่าเอ็นดู
การเลือก จอห์นนี่ น็อกซ์วิลล์ (จาก Jackass) มารับบทคู่หูถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด:
เคมีข้ามวัฒนธรรม: น็อกซ์วิลล์นำเสนอตัวแทนของ “คนอเมริกันที่หลงทาง” ได้อย่างมีสีสัน ความเกลือกกลั้วและความกล้าได้กล้าเสียของเขาสอดรับกับความจริงจังของเฉินหลงได้อย่างลงตัว เขาไม่ต้องพยายามแสดงเป็นนักสู้ แต่แสดงเป็น “ผู้รอดชีวิต” ที่มีไหวพริบ ซึ่งสร้างมิติที่แตกต่างจากคู่หูคนก่อนๆ ของเฉินหลงอย่าง คริส ทัคเกอร์ หรือ โอเวน วิลสัน
ฟ่าน ปิงปิง (Fan Bingbing): อัญมณีแห่งเอเชีย
แม้จะมีบทบาทไม่มากนัก แต่การปรากฏตัวของ ฟ่าน ปิงปิง มอบบารมี (Presence) และความสง่างามให้แก่ภาพยนตร์ เธอถ่ายทอดบท “ซาแมนธา” ให้ดูเป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งและมีศักดิ์ศรี ไม่ได้เป็นเพียงเหยื่อที่รอการช่วยเหลือ ซึ่งเสริมให้ประเด็นเรื่องครอบครัวและความรับผิดชอบในเรื่องมีความหนักแน่นขึ้น

Skiptrace (2016) คู่ใหญ่สั่งมาฟัด มิใช่ภาพยนตร์ที่พยายามจะปฏิวัติวงการภาพยนตร์ด้วยความลุ่มลึกเชิงปรัชญาชั้นสูง แต่มันคือ “จดหมายเหตุความบันเทิง” ที่เฉลิมฉลองมิตรภาพและจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ของมนุษย์ ในเชิงเนื้อเรื่อง เรนนี่ ฮาร์ลิน ประสบความสำเร็จในการนำเอาสูตรสำเร็จของหนังคู่หูมาปัดฝุ่นใหม่ผ่านการเดินทางข้ามทวีป, ในเชิงภาพ มันคืองานศิลปะที่บันทึกความงามของดินแดนเอเชียได้อย่างวิจิตรบรรจง และในเชิงการแสดง เฉินหลง และ จอห์นนี่ น็อกซ์วิลล์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ภาษาของเสียงหัวเราะ” และ “ภาษาของการต่อสู้” เป็นภาษาสากลที่สามารถเชื่อมโยงหัวใจของผู้คนได้ทุกหนแห่ง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ทิ้งท้ายด้วยสัจธรรมที่อบอุ่นว่า “มิตรภาพที่แท้จริงมักไม่ได้เริ่มจากความเหมือน แต่เริ่มจากความกล้าที่จะยอมรับในความต่าง และพร้อมจะเดินเคียงข้างกันไปบนเส้นทางที่ยากลำบากที่สุด” Skiptrace จึงเป็นผลงานที่สง่างามในความรื่นเริง ลุ่มลึกในสายสัมพันธ์ และเป็นบทสะท้อนความงดงามของโลกกว้างที่ทรงพลังและน่าจดจำที่สุดเรื่องหนึ่งของปี 2016 ก้าวต่อไปที่คุณอาจสนใจ: หากคุณประทับใจในงานสร้างที่ผสมผสานเอเชียและฮอลลีวูด คุณต้องการให้ผมวิเคราะห์เปรียบเทียบกับภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ Rush Hour หรือต้องการเจาะลึกในประเด็น “การออกแบบฉากต่อสู้โดยใช้สิ่งของแวดล้อม” (Prop Action Design) ในสไตล์เฉินหลงเพิ่มเติม รับชมหนัง Skiptrace (2016) คู่ใหญ่สั่งมาฟัด ได้ที่ movie24hd