รีวิวหนัง Star Wars Episode 9 The Rise of Skywalker ยินดีต้อนรับเพื่อนๆ ชาว Movie24HD ทุกท่านครับ! วันนี้เราจะมาพูดถึงภาพยนตร์ที่เป็นมากกว่าแค่หนัง แต่เป็น “วัฒนธรรม” ที่อยู่คู่กับโลกภาพยนตร์มากว่า 4 ทศวรรษ นั่นคือ Star Wars: The Rise of Skywalker (2019) หรือ สตาร์ วอร์ส 9 กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์การมารับหน้าที่ปิดจบตำนาน Skywalker Saga ของผู้กำกับ J.J. Abrams ในครั้งนี้ แบกรับความคาดหวังอันมหาศาลจากแฟนๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะหลังจากกระแสวิจารณ์ที่แตกออกเป็นสองฝั่งในภาค The Last Jedi วันนี้แอดมินจะพาไปเจาะลึกกันแบบถึงพริกถึงขิง วิเคราะห์กันซีนต่อซีน ว่าบทสรุปนี้สมศักดิ์ศรีหรือไม่? งานภาพอลังการแค่ไหน? และการแสดงของ Adam Driver และ Daisy Ridley แบกหนังเรื่องนี้ไว้ได้อย่างไร? หากคุณเป็นคอหนังไซไฟ (Sci-Fi) และกำลังมองหาหนังดูออนไลน์แบบชัดแจ๋ว อย่าลืมแวะไปที่ Movie24HD.net ศูนย์รวมความบันเทิงของคุณครับ หรือถ้าชอบฟังวิเคราะห์หนังแบบเจาะลึก

ชื่อเรื่อง: Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker
ชื่อภาษาไทย: สตาร์ วอร์ส: กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์
ปีที่ฉาย: 2019
ความยาว: 2 ชั่วโมง 22 นาที
ผู้กำกับ: J.J. Abrams
บทภาพยนตร์: J.J. Abrams, Chris Terrio
ดนตรีประกอบ: John Williams (ตำนานที่ยังมีลมหายใจ)
Daisy Ridley รับบทเป็น Rey (เรย์)
Adam Driver รับบทเป็น Kylo Ren / Ben Solo (ไคโล เรน)
John Boyega รับบทเป็น Finn (ฟินน์)
Oscar Isaac รับบทเป็น Poe Dameron (โพ ดาเมรอน)
Carrie Fisher รับบทเป็น Leia Organa (เลอา – ใช้ฟุตเทจเก่า)
Mark Hamill รับบทเป็น Luke Skywalker (ลุค)
Ian McDiarmid รับบทเป็น Emperor Palpatine (จักรพรรดิพัลพาทีน)
ความเร็วแสงของการเล่าเรื่อง (Pacing) สิ่งแรกที่ผู้ชมจะสัมผัสได้ทันทีที่โลโก้ Lucasfilm จางหายไปคือ “ความเร็ว” หนังเรื่องนี้เดินเรื่องเร็วมาก! เร็วจนแทบจะหายใจไม่ทัน J.J. Abrams เลือกที่จะอัดแน่นเนื้อหาที่ควรจะเล่าในหนัง 2 ภาคให้จบในภาคเดียว ช่วงครึ่งแรกของหนังจึงเต็มไปด้วยภารกิจแบบ “Fetch Quest” (การตามหาของวิเศษ) ที่ตัวละครต้องวิ่งวุ่นจากดาวดวงหนึ่งไปยังอีกดวงหนึ่งเพื่อหาเบาะแสไปยังดาว Exegolสำหรับผู้ชมทั่วไปที่ชอบความตื่นเต้น อาจจะรู้สึกสนุกไปกับความไม่หยุดนิ่งนี้ แต่ในมุมของการเล่าเรื่อง (Storytelling) การตัดต่อที่ฉับไวเกินไปทำให้ “น้ำหนักทางอารมณ์” (Emotional Weight) ของบางฉากหายไป เราแทบไม่มีเวลาได้ซึมซับความสูญเสีย หรือความขัดแย้งในใจตัวละคร เพราะหนังต้องรีบพาเราไปฉากแอ็คชั่นถัดไปทันที

ประเด็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดคือการนำ Emperor Palpatine กลับมาเป็นบอสใหญ่ การตัดสินใจนี้ดูเหมือนจะเป็นการ “Play Safe” ของ Disney เพื่อดึงแฟนรุ่นเก๋า (Original Trilogy Fans) กลับมา แต่ในแง่ของบท มันทำให้ชัยชนะของ Anakin Skywalker ในภาค Return of the Jedi ดูลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ลงไปบ้าง อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของ Palpatine ช่วยสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับทั้ง Rey และ Kylo Ren ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเรื่อง การผูกปมเรื่อง “สายเลือด” (Bloodline) กลับมาเป็นประเด็นหลักอีกครั้ง เป็นการตอบโต้แนวคิดของภาค The Last Jedi ที่บอกว่า “ใครก็เป็นฮีโร่ได้” มาสู่ “การกำหนดชะตาชีวิตด้วยตัวเอง แม้จะมีสายเลือดปีศาจ” ซึ่งถือเป็น Message ที่แข็งแรงและน่าสนใจ
The Rise of Skywalker อัดแน่นไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า Fan Service หรือการเซอร์วิสแฟนๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏตัวของตัวละครเก่า ยานรบที่คุ้นเคย หรือเสียง (Voice Cameos) ของเหล่าเจไดในอดีต สำหรับแฟนเดนตาย นี่คือช่วงเวลาที่ขนลุกและน้ำตาซึม แต่สำหรับนักวิจารณ์บางกลุ่ม อาจมองว่ามันพยายาม “ซ่อมแซม” สิ่งที่ภาค 8 ทำไว้มากเกินไปจนขาดเอกลักษณ์ของตัวเอง
Exegol: ความมืดมิดที่งดงาม ดาว Exegol ที่เป็นฐานทัพของ Sith Eternal ถูกออกแบบมาได้อย่างน่าขนลุกและยิ่งใหญ่ การใช้แสงกระพริบจากฟ้าผ่าตัดกับความมืดมิด สร้างบรรยากาศของความสิ้นหวังและความน่าเกรงขามได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันแตกต่างจากความสะอาดสะอ้านของยาน Star Destroyer ทั่วไป แต่ให้ความรู้สึกถึงความชั่วร้ายที่ฝังรากลึกและเก่าแก่ฉากดวลดาบ Lightsaberฉากดวลดาบระหว่าง Rey และ Kylo Ren บนซาก Death Star II ท่ามกลางคลื่นยักษ์ เป็นหนึ่งในฉากดวลดาบที่สวยงามที่สุดในแฟรนไชส์ (Cinematography) การใช้น้ำและการเคลื่อนไหวที่หนักหน่วง แสดงให้เห็นถึงพละกำลังและความเกรี้ยวกราดของตัวละครได้ดีกว่าการรำดาบสวยๆ แบบไตรภาคต้น (Prequels) เสียอีก งาน CGI ในฉากนี้เนียนตาจนแทบแยกไม่ออก Space Battleฉากสงครามยานรบในช่วงสุดท้าย แม้จะดูวุ่นวายไปบ้างจากการที่มีวัตถุในจอเยอะมาก แต่รายละเอียดยิบย่อยของยานแต่ละลำถือว่าทำการบ้านมาดีเยี่ยม ทีมงาน ILM (Industrial Light & Magic) ยังคงเป็นเบอร์ 1 ของวงการนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

Adam Driver ในบท Kylo Ren / Ben Solo: The MVP ต้องยอมรับว่าไตรภาคนี้ (Sequel Trilogy) คือไตรภาคของ Kylo Ren อย่างแท้จริง Adam Driver มอบการแสดงระดับออสการ์ให้กับหนังบล็อกบัสเตอร์ เขาถ่ายทอดความเจ็บปวด ความสับสน และความขัดแย้งในใจผ่านทางสายตาได้ยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะในภาคนี้ เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครที่สมบูรณ์ที่สุด จากตัวร้ายที่เกรี้ยวกราด สู่ชายหนุ่มที่กลับใจ (Redemption Arc)ฉากที่เขาคุยกับ “ความทรงจำ” ของพ่อ (Han Solo) คือฉากที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ ทั้งอบอุ่นและทรงพลังโดยไม่ต้องใช้ Force แม้แต่นิดเดียว
จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยสำหรับ John Williams ปรมาจารย์ผู้ประพันธ์เพลงประกอบ นี่คือผลงานชิ้นสุดท้ายของเขาในแฟรนไชส์นี้ เพลงธีมอย่าง “The Force is with You” หรือการนำธีมเก่าๆ อย่าง “Imperial March” มาดัดแปลง ผสมผสานกับธีมใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ทรงพลัง และบีบหัวใจ ดนตรีของเขายังคงทำหน้าที่เล่าเรื่องได้ดีเท่ากับบทสนทนา และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ฉากจบดูขลังและศักดิ์สิทธิ์
Rotten Tomatoes:
ฝั่งนักวิจารณ์ (Tomatometer): 51% (อยู่ในเกณฑ์ Rotten หรือ มะเขือเน่า) นักวิจารณ์มองว่าหนังพยายามยัดเยียดเนื้อหามากเกินไปและขาดความกล้าหาญ
ฝั่งผู้ชม (Audience Score): 86% (สดใหม่) แฟนหนังส่วนใหญ่พอใจกับบทสรุปที่เน้นความบันเทิงและเซอร์วิสแฟนๆ
IMDb: คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6.5/10 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ สำหรับมาตรฐานหนัง Star Wars
Dune (2021): มหากาพย์ไซไฟที่เน้นการเมือง สงคราม และพลังจิต คล้ายคลึงกับ Star Wars แต่มีความเคร่งขรึมและงานภาพที่อาร์ตกว่า
Guardians of the Galaxy (Vol. 1-3): หากชอบการผจญภัยในอวกาศแบบเป็นทีมและความสัมพันธ์ของตัวละครที่สนุกสนาน
Star Trek (2009): ผลงานกำกับของ J.J. Abrams เอง ที่มีความเร็วและความมันส์ในสไตล์เดียวกัน
Avengers: Endgame (2019): หากคุณชอบบทสรุปของมหากาพย์ที่รวมตัวละครมากมายและการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่

Q1: จำเป็นต้องดูภาค 7 และ 8 มาก่อนไหม?
A: จำเป็นอย่างยิ่งครับ! เพราะเนื้อเรื่องต่อกันโดยตรง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของ Rey และ Kylo Ren หากไม่ดูมาก่อนจะงงกับแรงจูงใจของตัวละครแน่นอน
Q2: Palpatine รอดมาได้ยังไงจากภาค 6?
A: ในหนังมีการอธิบายสั้นๆ ว่า “The dark side of the Force is a pathway to many abilities some consider to be unnatural” (ด้านมืดคือหนทางสู่พลังที่ผิดธรรมชาติ) และมีการบอกใบ้เรื่องการโคลนนิ่ง (Cloning) และการย้ายจิตวิญญาณ ซึ่งแฟนๆ ต้องไปเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมในนิยายประกอบหนัง (Novelization) ครับ
Q3: ทำไม Rey ถึงเรียกตัวเองว่า Skywalker ในตอนจบ?
A: Rey เลือกที่จะละทิ้งสายเลือด Palpatine ของตัวเอง และสืบทอดเจตนารมณ์ของ Luke และ Leia การใช้นามสกุล Skywalker เป็นสัญลักษณ์ว่า “ตัวตนของเรา เราเป็นคนกำหนดเอง ไม่ใช่สายเลือด” และเป็นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ทั้งสองของเธอครับ
Q4: ดูหนัง Star Wars ครบทุกภาคได้ที่ไหน?
A: เพื่อนๆ สามารถติดตามรับชมข่าวสารและลิงก์ดูหนังออนไลน์คุณภาพ HD ได้ที่หน้าหมวดหมู่ Sci-Fi บนเว็บไซต์ Movie24HD ของเราได้เลยครับ
รีวิวหนัง Star Wars Episode 9 The Rise of Skywalker อาจไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบที่สุดในแง่ของการเขียนบท มันมีจุดโหว่ มีความเร่งรีบ และมีการตัดสินใจที่อาจขัดใจแฟนบางกลุ่ม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่คือหนังที่สร้างมาเพื่อ “ความบันเทิง” ระดับสูงสุด งานภาพที่ตระการตา ดนตรีที่ไพเราะจับใจ และการแสดงที่ทุ่มเทของนักแสดงนำ ทำให้มันเป็นบทสรุปที่ “ยอมรับได้” และเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ถวิลหาอดีตถ้าคุณรัก Star Wars นี่คือจดหมายลาที่อาจไม่ได้เขียนด้วยลายมือที่สวยที่สุด แต่เขียนด้วยความตั้งใจที่จะบอกลาเพื่อนเก่าทุกคน… รับชมหนังเรื่อง Star Wars Episode 9 The Rise of Skywalker (2019) สตาร์ วอร์ส 9 กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์ ได้ที่ movie24hd
คะแนนรีวิวจาก Movie24HD
เนื้อเรื่อง: 7/10
งานภาพ: 10/10
การแสดง: 9/10
ความสนุก: 8.5/10
รวม: 8.5/10 (หนังที่แฟนคลับต้องดู)