รีวิวหนัง The Hateful Eight (2015) 8 พิโรธ โกรธแล้วฆ่า การรื้อสร้างขนบตะวันตกสู่โรงละครแห่งความระแวง เมื่อเอ่ยชื่อ เควนติน ทารันติโน (Quentin Tarantino) ผู้ชมย่อมคาดหวังถึงบทสนทนาที่เผ็ดร้อน ความรุนแรงที่แฝงอารมณ์ขันร้าย และการคารวะศิลปะภาพยนตร์ในอดีต ทว่าในผลงานลำดับที่ 8 อย่าง The Hateful Eight (2015) ทารันติโนได้ก้าวข้ามการเป็นเพียงผู้กำกับหนังคาวบอย สู่การเป็น “นักประพันธ์นาฏกรรมปิดล้อม” (Chamber Drama) ที่ลุ่มลึกที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ร่วมสมัย ภาพยนตร์เรื่องนี้มิใช่เพียงหนังแอ็กชันคาวบอยที่เน้นการดวลปืนกลางแจ้ง แต่เป็นการจำลอง “สภาวะสงครามกลางเมืองในขวดโหล” โดยการกักขังตัวละครที่มีเบื้องหลังอันดำมืดและอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันไว้ในร้านขายของชำกลางพายุหิมะอันบ้าคลั่ง บทวิพากษ์ฉบับนี้จะทำการผ่าตัดองค์ประกอบทางศิลป์อย่างละเอียด ทั้งในมิติของเนื้อเรื่องที่วิพากษ์ประวัติศาสตร์อเมริกา, สุนทรียศาสตร์ทางภาพระดับ Ultra Panavision 70 และการแสดงที่ขับเคี่ยวกันด้วยไหวพริบและวาจา เพื่อสืบค้นว่าเหตุใด “ความโกรธ” ของทั้ง 8 คนจึงกลายเป็นกระจกสะท้อนความฟอนเฟะของความเป็นมนุษย์ได้อย่างทรงพลัง

ความอัจฉริยะประการแรกของ The Hateful Eight คือการใช้โครงสร้างการเล่าเรื่องแบบ “Whodunit” (ใครคือฆาตกร) ที่ผสมผสานกับดราม่าเชิงจิตวิทยา โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นบท (Chapters) ราวกับนวนิยายสืบสวนสอบสวนที่มีกลิ่นอายของ อากาธา คริสตี้ ทว่าถูกฉาบด้วยคราบเลือดและดินปืน
ความจริงที่ถูกทับถมด้วยหิมะและคำลวง (The Construction of False Identity)
เนื้อเรื่องวางรากฐานอยู่บน “ความไม่ไว้วางใจ” (Mistrust) ตัวละครทุกตัวที่เข้ามาหลบพายุในร้านของมินนี่ ล้วนมี “สถานะ” ที่อาจเป็นเพียงหน้ากาก:
การปะทะของประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ชำระ: การวางตัวละคร “พันตรีมาร์คัส วอร์เรน” (อดีตทหารฝ่ายเหนือผิวดำ) ให้เผชิญหน้ากับ “นายพลแซนฟอร์ด สมิธเทอร์ส” (อดีตทหารฝ่ายใต้) คือการนำซากปรักหักพังของสงครามกลางเมืองอเมริกามาวางไว้บนโต๊ะอาหาร บทสนทนาในเรื่องมิได้มีไว้เพื่อสื่อสาร แต่มีไว้เพื่อ “หยั่งเชิง” และ “ทำลาย” ฝ่ายตรงข้าม
จดหมายของลินคอล์นในฐานะสัญญะของคำลวง: จดหมายปลอมจากประธานาธิบดีที่ตัวละครวอร์เรนพกไว้ เป็นอุปมาอุปไมยที่แหลมคมถึงการที่มนุษย์จำต้องสร้าง “ตำนาน” หรือ “ความหวังจอมปลอม” เพื่อให้ตนเองได้รับการยอมรับหรือมีชีวิตรอดในสังคมที่เต็มไปด้วยอคติ
ความรุนแรงในฐานะบทสรุปทางตรรกะ
ทารันติโนใช้เวลาส่วนใหญ่ของเรื่องในการ “สะสมความร้อน” ผ่านบทสนทนาที่ยืดยาวแต่แฝงด้วยความนัย (Subtext) ก่อนจะปลดปล่อยความรุนแรงออกมาในองก์สุดท้าย การวางพล็อตเรื่องแบบปิดตาย (Bottle Plot) บังคับให้ผู้ชมต้องกลายเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ต้องคอยจับผิดทุกฝีเข็มของตัวละคร สารัตถะที่ภาพยนตร์สื่อสารคือ ในโลกที่ความยุติธรรมถูกนิยามด้วยค่าหัวและความแค้น ความสงบสุขเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวที่รอวันถูกฉีกกระชากด้วยความจริงที่โหดร้าย

งานด้านสุนทรียศาสตร์ของ The Hateful Eight คือชัยชนะของการนำเทคโนโลยีภาพยนตร์ยุคคลาสสิกมาใช้เพื่อเล่าเรื่องยุคใหม่ โดยผู้กำกับภาพระดับตำนาน โรเบิร์ต ริชาร์ดสัน (Robert Richardson)
สุนทรียศาสตร์แห่งความอึดอัดในจอที่กว้างขวาง (Claustrophobia in Wide Screen)
การเลือกถ่ายทำด้วยฟิล์ม Ultra Panavision 70 (ขนาดภาพ 2.76:1) ซึ่งเป็นขนาดที่กว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เป็นการตัดสินใจเชิงศิลป์ที่ย้อนแย้งและชาญฉลาด:
ความลึกของพื้นที่ปิด: แทนที่จะใช้ภาพกว้างเพื่อถ่ายทอดทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ของภูเขา ทารันติโนกลับใช้มันเพื่อเก็บ “ปฏิกิริยาของตัวละคร” ที่อยู่นอกโฟกัสหลัก ขณะที่ตัวละครหนึ่งกำลังพูด เราสามารถเห็นอีกตัวละครหนึ่งกำลังทำบางอย่างที่น่าสงสัยในมุมมืดของร้านได้เสมอ นี่คือการสร้างความกดดันทางสายตาที่ทำให้ผู้ชมต้องตื่นตัวตลอดเวลา
พาเลตต์สีที่เยือกเย็นและอบอุ่น: ภายนอกร้านคือสีขาวโพลนของหิมะที่สื่อถึงความตายและความว่างเปล่า ส่วนภายในร้านคือสีน้ำตาลเข้มของไม้และแสงไฟสีส้มที่ดูอบอุ่นแต่กลับให้ความรู้สึกอึดอัด (Mise-en-scène) ราวกับตัวละครกำลังอยู่ในเตาหลอมที่รอวันปะทุ
ดนตรีประกอบ: เสียงสะท้อนของความวิปริต
การได้ เอนนิโอ มอร์ริโคเน (Ennio Morricone) มาประพันธ์ดนตรีประกอบ (ซึ่งคว้าออสการ์ในเวลาต่อมา) ช่วยยกระดับงานสร้างให้มีความขลัง ดนตรีในเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบคาวบอยผู้กล้าหาญ แต่มีความลึกลับ หวาดระแวง และดูผิดเพี้ยน สื่อถึงสันดานดิบของตัวละครที่กำลังจะถูกเปิดเผย

ความสำเร็จสูงสุดของภาพยนตร์เรื่องนี้อาศัยทีมนักแสดงระดับพระกาฬที่ต้องรักษาระดับอารมณ์ให้คงที่ตลอดความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง ในพื้นที่จำกัดที่การขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยก็มีความหมาย
ซามูเอล แอล. แจ็กสัน (Samuel L. Jackson) ในบท พันตรีวอร์เรน: แกนกลางของพายุ
แจ็กสันมอบการแสดงที่เปี่ยมด้วยบารมีและชั้นเชิงทางการพูด (Verbal Dexterity) เขาเป็นตัวแทนของความฉลาดที่ซ่อนไว้ภายใต้ความโกรธแค้น ฉากการเล่าเรื่องราวความอัปยศที่เขาทำกับลูกชายนายพลคือมาสเตอร์คลาสของการใช้ “เสียงและท่าทาง” ในการสะกดคนฟังและกดดันศัตรูให้ถึงขีดสุด
เจนนิเฟอร์ เจสัน ลี (Jennifer Jason Leigh) ในบท เดซี่ โดเมอร์กู: ปีศาจที่น่าหลงใหล
ในฐานะผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว (ในตอนแรก) เจสัน ลี มอบการแสดงที่ดิบเถื่อนและคาดเดายังไม่ออก เธอคือ “ศูนย์กลางของความโกลาหล” แม้จะถูกล่ามโซ่และใบหน้าเปื้อนเลือด แต่ดวงตาและรอยยิ้มที่เยาะเย้ยของเธอสื่อว่าเธอเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่าในเชิงจิตวิทยา นี่คือบทบาทที่ท้าทายขนบตัวละครหญิงในหนังคาวบอยอย่างสิ้นเชิง
เคิร์ต รัสเซล (Kurt Russell) และ ทิม รอธ (Tim Roth)
เคิร์ต รัสเซล (จอห์น รูธ): แสดงถึงความมั่นใจในอำนาจและการยึดมั่นในวิชาชีพจนกลายเป็นความประมาท รัสเซลสร้างตัวละครที่ดูแข็งกร้าวแต่กลับมีความซื่อตรงอย่างน่าประหลาดใจ
ทิม รอธ (ออสวอลโด้ ม็อบเรย์): มอบการแสดงที่ดูสำรวยและเต็มไปด้วยมารยาท (Politeness) ซึ่งเป็นหน้ากากที่ปกปิดความอำมหิตไว้ได้อย่างแนบเนียน
The Hateful Eight (2015) 8 พิโรธ โกรธแล้วฆ่า มิใช่ภาพยนตร์ที่ดูเพื่อความบันเทิงแบบฉาบฉวย แต่มันคือ “การวิพากษ์สังคมอเมริกา” ผ่านเลนส์ของความรุนแรงและภาษาภาพยนตร์ที่ละเมียดละไม ทารันติโนประสบความสำเร็จในการแสดงให้เห็นว่า เมื่อมนุษย์ถูกต้อนให้จนมุมในพื้นที่ที่ไร้กฎหมาย สันดานดิบและความเกลียดชังจะทำหน้าที่เป็นกฎหมายใหม่ที่ยุติธรรมต่อความตายของทุกคนอย่างเท่าเทียม ในเชิงเนื้อเรื่อง มันคือการปะติดปะต่อความจริงที่ผุพัง, ในเชิงภาพ มันคืองานฉลองของฟิล์ม 70 มม. ที่ให้ภาพที่ลุ่มลึกและบีบคั้น และในเชิงการแสดง มันคือการปะทะกันของยอดฝีมือที่ทิ้งทวนความแค้นไว้บนหน้าจออย่างตราตรึง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ทิ้งคำถามสำคัญไว้ก่อนที่หิมะจะหยุดตก: ในโลกที่ทุกคนต่างมีความโกรธแค้นและคำลวงเป็นอาวุธ ใครกันแน่คือ “คนผิด” ที่แท้จริง? หรือแท้จริงแล้วเราทุกคนต่างก็คือ “The Hateful” ที่ถูกขังไว้ในร้านแห่งนี้ร่วมกันสืบไป ก้าวต่อไปที่คุณอาจสนใจ: หากคุณประทับใจในสไตล์ “การเล่าเรื่องในพื้นที่ปิด” หรือ “บทสนทนาที่เชือดเฉือน” คุณต้องการให้ผมวิเคราะห์เปรียบเทียบกับผลงานยุคแรกของทารันติโนอย่าง Reservoir Dogs หรือเจาะลึกในประเด็น “สัญญะของจดหมายลินคอล์น” รับชมหนัง The Hateful Eight (2015) 8 พิโรธ โกรธแล้วฆ่า ได้ที่ movie24hd