รีวิวหนัง The Hundred-Foot Journey (2014) ปรุงชีวิต ลิขิตฝัน เมื่อระยะร้อยฟุตกลายเป็นพรมแดนแห่งการเรียนรู้และการยอมรับ! ในโลกของภาพยนตร์ที่มุ่งเน้นการถ่ายทอดวัฒนธรรมอาหาร (Culinary Cinema) มีผลงานเพียงไม่กี่เรื่องที่สามารถประคับประคองความละเมียดละไมของศิลปะการปรุงรส ไปพร้อมกับการวิพากษ์ประเด็นการอพยพและอคติทางวัฒนธรรมได้อย่างงดงามเท่ากับ The Hundred-Foot Journey (2014) หรือในชื่อไทย ปรุงชีวิต ลิขิตฝัน ผลงานการกำกับของ ลาสซี่ ฮอลสตรอม (Lasse Hallström) ภายใต้การอำนวยการสร้างของสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการบันเทิง สตีเวน สปีลเบิร์ก และ โอปราห์ วินฟรีย์
ภาพยนตร์เรื่องนี้มิได้เป็นเพียงบทประโลมโลกที่ว่าด้วยความสำเร็จของเชฟหนุ่มอัจฉริยะ ทว่ามันคือ “นาฏกรรมแห่งผัสสะ” ที่สำรวจระยะห่างเพียง “หนึ่งร้อยฟุต” ระหว่างร้านอาหารอินเดียที่เปี่ยมด้วยความร้อนแรงของเครื่องเทศ และภัตตาคารฝรั่งเศสระดับดาวมิชลินที่เคร่งครัดในระเบียบแบบแผน บทวิพากษ์ฉบับนี้จะเจาะลึกองค์ประกอบทางศิลป์อย่างละเอียด ทั้งในมิติของเนื้อเรื่องที่รื้อสร้างกำแพงแห่งอคติ, สุนทรียศาสตร์ทางภาพที่เนรมิตอาหารให้กลายเป็นวิจิตรศิลป์ และการแสดงระดับมาสเตอร์พีซที่สะท้อนถึงศักดิ์ศรีและมนุษยธรรม

ความอัจฉริยะประการแรกของบทภาพยนตร์ ซึ่งดัดแปลงจากนวนิยายของ ริชาร์ด ซี. โมเรส คือการใช้ “อาหาร” เป็นสัญญะ (Signifier) ในการสื่อสารถึงอัตลักษณ์และการปรับตัวข้ามวัฒนธรรม โดยมีโครงสร้างการเล่าเรื่องที่ดำเนินไปบนเส้นขนานของความขัดแย้งสู่การสอดประสาน
สมรภูมิแห่งรสชาติและการทลายกำแพงอคติ (The Gastronomic Conflict)
เนื้อเรื่องวางรากฐานตัวละครครอบครัว “กัดดัม” ผู้อพยพจากอินเดียที่ตัดสินใจเปิดร้านอาหารฝั่งตรงข้ามกับภัตตาคารหรูของ “มาดามมัลลอรี่”:
การปะทะกันของอุดมการณ์: บทภาพยนตร์สร้างความขัดแย้งที่ชัดเจนระหว่าง “จิตวิญญาณและความโกลาหล” ของอาหารอินเดีย กับ “วินัยและความสมบูรณ์แบบ” ของอาหารฝรั่งเศส ระยะทางหนึ่งร้อยฟุตที่กั้นขวางถนนนั้น มิใช่เพียงหน่วยวัดทางกายภาพ แต่เป็นภาพตัวแทนของกำแพงทางชนชั้น วัฒนธรรม และความภาคภูมิใจที่หยิ่งผยอง
การเรียนรู้ผ่านการรับรส: พัฒนาการของ “ฮัสซัน” เชฟหนุ่มอัจฉริยะ คือหัวใจของการหลอมรวม (Integration) เขาไม่ได้เลือกที่จะปฏิเสธรากเหง้าอินเดีย แต่เลือกที่จะนำทักษะการปรุงอาหารฝรั่งเศสมา “สนทนา” กับเครื่องเทศดั้งเดิม สารัตถะที่ภาพยนตร์สื่อสารคือ ความเป็นเลิศมิได้เกิดจากการยึดมั่นในแบบแผนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความกล้าที่จะผสมผสานสิ่งใหม่ภายใต้ความเข้าใจในแก่นแท้
วิพากษ์ระบบดาวมิชลินและราคาของความสำเร็จ
ในองก์สุดท้าย เนื้อเรื่องพาเราไปสำรวจโลกของวงการอาหารระดับโลกในปารีส ซึ่งสะท้อนภาพความโดดเดี่ยวของความสำเร็จที่ปราศจาก “รสชาติของความทรงจำ” (The Taste of Home) ภาพยนตร์ตั้งคำถามที่ลึกซึ้งว่า ในวันที่เราก้าวไปถึงจุดสูงสุดของอาชีพ เราได้ทำส่วนประกอบสำคัญที่สุดอย่าง “หัวใจ” ตกหล่นไประหว่างทางหรือไม่

งานด้านสุนทรียศาสตร์ของ The Hundred-Foot Journey คือชัยชนะของการสื่อสารผ่าน “สัมผัสทางสายตา” ที่สามารถกระตุ้นจินตนาการด้านรสชาติและกลิ่นได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยผู้กำกับภาพ ลีนัส แซนด์เกรน (ผู้ชนะรางวัลออสการ์จาก La La Land)
สุนทรียศาสตร์แห่งอาหารในฐานะจารึกทางศิลปะ (Culinary Cinematography)
The Macro-Perspective of Food: กล้องมักใช้ภาพระยะใกล้พิเศษ (Extreme Close-up) เพื่อถ่ายทอดรายละเอียดของวัตถุดิบ ตั้งแต่การตอกไข่ด้วยมือเดียว การสับเครื่องเทศ ไปจนถึงการจัดแต่งจานที่วิจิตร แสงสีที่ดูอิ่มเอม (Saturated Colors) และการจัดวางองค์ประกอบภาพทำให้ภาพอาหารมีสภาวะกึ่งฝัน (Dreamlike Texture) สื่อถึงความหลงใหลและการอุทิศตนของตัวละคร
ความแตกต่างของบรรยากาศ (Contrast of Settings): งานภาพแบ่งโลกสองใบออกจากกันอย่างชัดเจนผ่านโทนแสง โลกของร้าน Maison Mumbai เต็มไปด้วยแสงไฟสีอุ่นที่สั่นไหวและโกลาหล สื่อถึงพลังชีวิตและความอบอุ่นของครอบครัว ในขณะที่ Le Saule Pleureur ถูกถ่ายทำด้วยแสงที่นุ่มนวล เย็นตา และมีความเป็นระเบียบสมมาตร สื่อถึงความสง่างามและความสันโดษ
ทัศนียภาพของชนบทฝรั่งเศส: การถ่ายภาพมุมกว้าง (Wide Shots) ของเมืองแซงต์-อันโตแนน-นอแบล-วาล (Saint-Antonin-Noble-Val) เน้นย้ำถึงความสงบเงียบที่กำลังจะถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงหัวเราะและกลิ่นเครื่องเทศ เป็นการใช้ภูมิศาสตร์เล่าเรื่องการปะทะทางวัฒนธรรมได้อย่างนุ่มนวล
หัวใจสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความสัตย์จริงและเปี่ยมเสน่ห์ คือการปะทะบทบาทของนักแสดงต่างรุ่นและต่างวัฒนธรรมที่มอบการแสดงที่มีชั้นเชิงเหนือระดับ
เฮเลน มิร์เรน (Helen Mirren) ในบท มาดามมัลลอรี่: นาฏกรรมแห่งความสง่างามที่ค่อยๆ ทลายลง
เฮเลน มิร์เรน มอบการแสดงระดับมาสเตอร์คลาสของการใช้ “ความนิ่ง” เพื่อสื่อสารอารมณ์:
การปกป้องศักดิ์ศรี: เธอถ่ายทอดภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด แววตาที่เต็มไปด้วยอคติในช่วงต้นถูกแสดงออกมาผ่านท่วงท่าที่หยิ่งทะนง ทว่าเมื่อเธอเริ่มยอมรับในพรสวรรค์ของฮัสซัน มิร์เรนแสดงให้เห็นถึง “รอยร้าวที่สวยงาม” ในจิตใจของเธอ ความอบอุ่นที่ค่อยๆ ซึมผ่านเกราะป้องกันออกมาเป็นการแสดงที่ละเมียดละไมและทรงพลังอย่างยิ่ง
โอม พูรี (Om Puri) ในบท ปาป้า: พลังแห่งรากเหง้าและความดื้อรั้นที่เปี่ยมรัก
ในบทบาทคู่ปรับของมาดามมัลลอรี่ โอม พูรี มอบการแสดงที่เป็นขั้วตรงข้ามอย่างสมบูรณ์:
ความรักในเกียรติยศ: พูรีแสดงเป็นพ่อที่ดูเหมือนจะไร้ระเบียบแต่แท้จริงแล้วคือผู้ที่แบกรับประวัติศาสตร์ของครอบครัวไว้บนบ่า เขาเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณอินเดียที่ปฏิเสธการถูกกดทับ เคมีระหว่างเขาและมิร์เรนในช่วงที่ปะทะฝีปากกัน คือหนึ่งในจุดที่สนุกและคมคายที่สุดของภาพยนตร์
มานิช ดายัล (Manish Dayal) และ ชาร์ล็อต เลอ บอน (Charlotte Le Bon)
มานิช ดายัล (ฮัสซัน): มอบการแสดงที่เน้นความนิ่งและความมุ่งมั่น เขาทำให้ผู้ชมเชื่อในอัจฉริยภาพของเขาผ่านสายตาที่จดจ้องอยู่กับการทำอาหาร และการเปลี่ยนแปลงจากเชฟหนุ่มผู้ใสซื่อสู่ศิลปินผู้ประสบความสำเร็จในปารีสได้อย่างแนบเนียน
ชาร์ล็อต เลอ บอน (มาร์เกอริต): ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมทางวัฒนธรรมและการแข่งขันที่งดงาม เธอถ่ายทอดความทะเยอทะยานที่ปนเปไปกับความเห็นอกเห็นใจได้อย่างมีเสน่ห์

The Hundred-Foot Journey (2014) ปรุงชีวิต ลิขิตฝัน มิใช่เพียงภาพยนตร์ที่มุ่งเน้นความเพลิดเพลินด้านอาหารหรือภาพสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่มันคือ “จดหมายเหตุเชิงวิพากษ์” ที่ตั้งคำถามถึงระยะห่างระหว่างหัวใจของมนุษย์ที่มักจะถูกกั้นขวางด้วยความกลัวในสิ่งที่แตกต่าง ในเชิงเนื้อเรื่อง ลาสซี่ ฮอลสตรอม ประสบความสำเร็จในการนำบทเรียนเรื่องการยอมรับ (Acceptance) มาเล่าผ่านเมนูอาหารได้อย่างแยบยล, ในเชิงภาพ มันคืองานศิลปะที่เนรมิตความวินาศสันตะโรของสงครามเครื่องเทศให้กลายเป็นความงดงามทางทัศนศิลป์ และในเชิงการแสดง เฮเลน มิร์เรน และ โอม พูรี ได้มอบ “ลมหายใจ” ให้แก่ตัวละครที่เป็นตัวแทนของโลกเก่าสองใบที่จำต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในโลกใหม่
ภาพยนตร์เรื่องนี้ทิ้งท้ายด้วยสัจธรรมที่ลึกซึ้งว่า “สูตรอาหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมิได้อยู่ในตำราที่เก่าแก่ที่สุด แต่อยู่ในการผสมผสานระหว่างความทรงจำที่เรามี และความรักที่เรามอบให้แก่ผู้อื่นในปัจจุบัน” The Hundred-Foot Journey จึงเป็นผลงานที่สง่างาม ลุ่มลึก และเป็นบทสะท้อนความสวยงามของการก้าวผ่านพรมแดนเพียงหนึ่งร้อยฟุตเพื่อพบกับมิตรภาพที่เป็นนิรันดร์ ก้าวต่อไปที่คุณอาจสนใจ: หากคุณประทับใจในมิติด้าน “ปรัชญาของอาหาร” หรือต้องการสำรวจทัศนียภาพของยุโรปผ่านเลนส์ภาพยนตร์เรื่องอื่น คุณต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติมเกี่ยวกับ “สัญญะของเมนูไข่ออมเล็ตในฐานะเครื่องมือตัดสินความเป็นเลิศ” หรือต้องการให้เปรียบเทียบกับภาพยนตร์ในแนวทางเดียวกันอย่าง Chocolat เพื่อเห็นความลุ่มลึกในมิติอื่นเพิ่มเติมหรือไม่ครับ? รับชมหนัง The Hundred-Foot Journey ได้ที่ movie24hd