โดยเน้นเจาะลึกทั้งประเด็นสังคม งานศิลป์ และการแสดง ตามที่คุณต้องการครับ
🐰🦊 รีวิวเจาะลึก Zootopia 2 : เมื่อโลกไม่ได้มีแค่ “ผู้ล่า” กับ “ผู้ถูกล่า” แต่มีความลับที่ซ่อนอยู่ใต้เกล็ด!
“สวัสดีครับทุกคน! หลังจากที่ Disney ปล่อยให้พวกเรารอกันจนเหงือกแห้งมาเกือบ 10 ปี ในที่สุด Zootopia 2 ก็เข้าโรงฉายเรียบร้อย บอกเลยว่าความคาดหวังผมสูงลิบลิ่ว แต่พอดูจบ… มันเกินคาดไปอีก! วันนี้ผมขอมานั่งจับเข่าคุย เล่าให้ฟังแบบละเอียดๆ ว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงไม่ใช่แค่หนังการ์ตูนเด็ก แต่เป็น Masterpiece ของงานเล่าเรื่องครับ”

“ขอเริ่มที่บทหนังก่อนเลย ถ้าภาคแรกคือการตั้งคำถามเรื่อง ‘อคติทางชาติพันธุ์’ (Prejudice) ภาคนี้ยกระดับไปเล่นประเด็นที่ซับซ้อนกว่านั้น คือเรื่องของ ‘ความไว้วางใจ’ (Trust) และ ‘ความแตกต่างที่มองไม่เห็น’ ครับ”
สเกลที่ใหญ่ขึ้น: เรื่องราวเปิดมาที่จูดี้กับนิคที่เป็นคู่หูตำรวจเต็มตัวแล้ว แต่คราวนี้พวกเขาได้รับมอบหมายภารกิจลับที่ทำให้ต้องออกนอกกรอบตำรวจจราจรหรือสายตรวจธรรมดา กลายเป็นหนังสายลับ (Spy Thriller) เต็มรูปแบบ การสืบสวนคดีใหม่พาพวกเขาไปเจอตัวละครกลุ่มใหม่คือ ‘สัตว์เลื้อยคลาน’ (Reptiles) ซึ่ง ในจักรวาล Zootopia ภาคแรกเราแทบไม่เห็นพวกนี้เลย
การปะทะทางความคิด: บทหนังฉลาดมากที่เล่นประเด็นว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Mammals) มองสัตว์เลื้อยคลานยังไง มันมีความกลัวแบบลึกๆ (Primal Fear) ที่บทเขียนออกมาได้เรียลมาก มันสะท้อนโลกความจริงที่เวลาเราเจอคนกลุ่มใหม่ที่เราไม่เข้าใจ เรามักจะสร้างกำแพงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จังหวะการเล่าเรื่อง: หนังเกลี่ยบทได้ดีมาก ช่วงตลกคือตลกจนท้องแข็ง โดยเฉพาะมุกเสียดสีระบบราชการและวิถีชีวิตสัตว์ที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้ แต่พอถึงจุดดราม่า หนังบีบหัวใจเราเรื่องความสัมพันธ์ของนิคกับจูดี้หนักมาก มันมีการทดสอบความเชื่อใจระหว่างกันที่ทำให้เรานั่งไม่ติดเก้าอี้
“เรื่องงานภาพ… ผมต้องใช้คำว่า ‘บ้าคลั่ง’ ครับ ทีมอนิเมเตอร์ของ Disney ใส่สุดแบบไม่กั๊ก”
Texture (พื้นผิว): ภาคแรกเราทึ่งกับ ‘ขน’ สัตว์ใช่ไหมครับ? ภาคนี้ไฮไลท์คือ ‘เกล็ด’ ครับ การเรนเดอร์ผิวของงู กิ้งก่า และจระเข้ คือที่สุด! แสงที่ตกกระทบเกล็ดมันมีความมันวาว ความด้าน และการหักเหแสงที่สมจริงจนน่าขนลุก มันทำให้ตัวละครใหม่อย่าง ‘แกรี่’ (งู) ดูมีชีวิตจริงๆ ไม่ใช่แค่โมเดล 3D
World Building (การสร้างโลก): ภาคนี้พาเราไปโซนใหม่ๆ อย่าง ‘Marsh Market’ (ตลาดหนองน้ำ) งานออกแบบศิลป์ตรงนี้สวยมาก บรรยากาศมีความชื้น แสงสลัวๆ ตัดกับไฟนีออน ให้ความรู้สึกเหมือนหนังฟิล์มนัวร์ (Film Noir) ผสมกับความแฟนตาซี การจัดแสงเงาในภาคนี้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความ Contrast สูง ซึ่งช่วยขับเน้นอารมณ์สืบสวนสอบสวนได้ดีเยี่ยม
Animation Movement: การเคลื่อนไหวของตัวละครมีความลื่นไหลและเฉพาะตัวมาก สังเกตฉากแอ็กชันดีๆ นะครับ การวิ่งของกระต่าย การเลื้อยของงู การพุ่งตัวของเสือชีตาห์ ทุกอย่างอ้างอิงหลักกายวิภาคจริง แต่ถูกบิดให้มีความเป็นการ์ตูน ทำให้ฉากไล่ล่าดูสนุกและตื่นเต้นกว่าหนังแอ็กชันคนแสดงบางเรื่องเสียอีก
“หัวใจของ Zootopia ไม่ใช่แค่ภาพสวย แต่คือเสียงพากย์ที่ทำให้ตัวละครมีวิญญาณครับ”
Ginnifer Goodwin (จูดี้) & Jason Bateman (นิค): สองคนนี้คือจิตวิญญาณของเรื่องจริงๆ เคมีเข้าขากันแบบมองตาก็รู้ใจ ภาคนี้ Bateman ใช้น้ำเสียงโทนเจ้าเล่ห์น้อยลง แต่มีความอบอุ่นและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในขณะที่ Goodwin ยังคงความกระตือรือร้นแต่แฝงความกังวลในน้ำเสียงได้ดีเยี่ยม เวลาสองคนนี้เถียงกัน หรือปรับความเข้าใจกัน มันดูเป็นธรรมชาติมากเหมือนฟังคนจริงๆ คุยกัน
Ke Huy Quan (รับบท แกรี่ งู): คนนี้คือ MVP ของภาคนี้เลยครับ! การเลือก Ke Huy Quan มาพากย์เป็นงูคือตัวเลือกที่จีเนียสมาก เสียงแกมีความขี้เล่น ลึกลับ แต่ก็น่าเอ็นดู แกทำให้ตัวละครที่คนส่วนใหญ่กลัว (งู) กลายเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มหาศาล ทุกซีนที่แกรี่โผล่มา คือขโมยซีนเรียบ!
Fortune Teller (ตัวละครบีเวอร์): อีกตัวที่สร้างสีสันได้ฮามาก การใช้เสียงพากย์ที่ดูลึกลับแต่แฝงความมั่วซั่ว เป็นจุดผ่อนคลายความเครียดของหนังที่ดีมากครับ
“สรุปเลยนะครับ Zootopia 2 ไม่ใช่แค่หนังภาคต่อที่ทำมาโกยเงิน แต่มันคืองานศิลปะที่โตขึ้นตามคนดู เนื้อเรื่องเข้มข้นจนผู้ใหญ่ดูแล้วต้องกลับมาคิดต่อ งานภาพสวยจนตาแตก และการแสดงที่ทำให้เราหลงรักตัวละครเหล่านี้มากขึ้นไปอีก ถ้าคุณชอบภาคแรก คุณจะรักภาคนี้มากกว่าเดิมครับ!” ถ้าคุณสนใจ ผมสามารถช่วยเช็กรอบฉาย Zootopia 2 ที่โรงภาพยนตร์ใกล้บ้าน หรือช่วยหาข้อมูล Easter Eggs

“ถ้าคุณคิดว่า Zootopia เป็นแค่การ์ตูนกระต่ายน้อยวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์… คุณคิดผิดถนัดครับ! นี่คือหนังที่ผมกล้าพูดเลยว่า มันคือหนัง ‘ฟิล์มนัวร์’ (Film Noir) หรือหนังแนวสืบสวนสอบสวนสุดเข้มข้นที่สวมหน้ากากความน่ารักของตัวการ์ตูนเอาไว้ เป็นหนึ่งในงานที่ฉลาดที่สุดเท่าที่ Disney เคยทำมาเลยครับ”
“เนื้อเรื่องนี่แหละคือทีเด็ด! มันไม่ใช่แค่เรื่องของกระต่ายบ้านนอกอยากเป็นตำรวจในเมืองกรุง แต่มันคือการวิพากษ์โครงสร้างสังคมที่เจ็บแสบมาก”
พล็อตสืบสวนที่ซับซ้อน: หนังวางโครงเรื่องมาในสไตล์ Buddy Cop (ตำรวจคู่หูต่างขั้ว) ที่คลาสสิกมาก จูดี้ (กระต่ายโลกสวย) ต้องมาจับคู่กับ นิค (จิ้งจอกเจ้าเล่ห์) เพื่อสืบคดีคนหาย แต่สิ่งที่พีคคือ คดีคนหายธรรมดาๆ ดันขยายวงกว้างไปสู่ ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ ระดับเมือง! การเขียนบทให้เบาะแสค่อยๆ โผล่มาทีละนิด เหมือนเรากำลังดูหนังนักสืบชั้นดีที่หลอกคนดูได้อยู่หมัด
ประเด็นเรื่อง ‘อคติ’ (Prejudice): หนังเล่นเรื่อง ‘ผู้ล่า’ (Predator) กับ ‘ผู้ถูกล่า’ (Prey) ได้ลึกซึ้งมาก มันสะท้อนโลกความจริงเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ (Racism) และการแปะป้ายตีตราคนอื่น (Stereotype) เช่น จิ้งจอกต้องขี้โกง กระต่ายต้องโง่และอ่อนแอ หนังขยี้จุดนี้จนทำให้ผู้ใหญ่ดูแล้วจุก ส่วนเด็กดูแล้วก็ได้บทเรียนเรื่องการยอมรับความแตกต่างโดยไม่รู้ตัว
จังหวะตลกที่ลงตัว: ถึงเนื้อหาจะหนัก แต่หนังเกลี่ยบทตลกได้ฮามาก โดยเฉพาะฉากในตำนานอย่าง “สลอธทำงานที่ขนส่ง” ฉากนี้คือ Masterpiece ของความตลกหน้าตายที่ใครดูก็ต้องขำกรามค้าง
“งานภาพของ Zootopia คือที่สุดของความละเอียดครับ ไม่ใช่แค่สวย แต่ทุกอย่างที่ใส่มา ‘มีเหตุผล’ รองรับหมด”
Zoning ที่น่าทึ่ง: ฉากที่จูดี้ขึ้นรถไฟเข้าเมือง คือฉากขายของที่ว้าวมาก! เราได้เห็นการแบ่งโซนเมืองตามสภาพอากาศ เช่น Tundratown (เมืองหิมะ), Sahara Square (ทะเลทราย) และ Rainforest District (ป่าฝน) การออกแบบสถาปัตยกรรมของแต่ละโซนคือคิดมาแล้วว่าสัตว์ชนิดไหนอยู่ยังไง ระบบท่อแอร์ ระบบพ่นละอองน้ำ ทุกอย่างดูสมจริงจนเชื่อว่าเมืองนี้มีอยู่จริง
Scale (ขนาด): หนังเล่นเรื่องขนาดของสัตว์ได้ฉลาดมาก มีตั้งแต่เมืองหนูจิ๋ว (Little Rodentia) ไปจนถึงประตูยักษ์สำหรับช้าง การที่จูดี้ต้องวิ่งไล่จับผู้ร้ายผ่านเมืองหนู เป็นฉากแอ็กชันที่เล่นกับสเกลภาพได้สนุกและตื่นเต้นสุดๆ
งานขน (Fur Technology): ยุคนั้น Disney พัฒนาเทคโนโลยีการทำขนสัตว์ได้ก้าวกระโดดมาก ขนแกะบนหัวของ Bellwether หรือขนหางฟูๆ ของนิค มันดูนุ่มและมีการตอบสนองต่อแสงเงาที่สมจริงสุดๆ
“หนังเรื่องนี้จะแป้กทันทีถ้านักพากย์ไม่ถึง แต่โชคดีที่แคสติ้งชุดนี้คือระดับเทพ!”
Ginnifer Goodwin (จูดี้): เธอใช้เสียงได้พลังงานล้นเหลือมาก! เสียงของจูดี้มีความใสซื่อ มุ่งมั่น แต่ในขณะเดียวกันตอนที่เธอรู้สึกผิดหรือเศร้า เสียงของเธอก็สั่นเครือจนเราอยากจะร้องไห้ตาม เธอทำให้เราเชื่อในตัวละครที่ “โลกสวยแต่ไม่ยอมแพ้”
Jason Bateman (นิค): คนนี้คือ MVP ครับ เสียงของ Bateman มีความกวนประสาท มีความเหนื่อยหน่ายโลก (Cynical) แบบผู้ใหญ่ที่ผ่านอะไรมาเยอะ แต่พอถึงจุดที่เขาต้องเปิดใจเล่าปมในอดีต น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดที่ลึกซึ้งมาก เคมีระหว่างเขากับ Goodwin คือธรรมชาติสุดๆ รับส่งมุกกันโบ๊ะบ๊ะ
Idris Elba (สารวัตรโบโก): เสียงดุดัน น่าเกรงขาม สมเป็นควายป่าหัวหน้าตำรวจ แต่บทจะตลก (เช่นฉากเป็นติ่งนักร้อง Gazelle) ก็ทำได้น่ารักน่าหมั่นไส้มาก

“Zootopia (2016) คือหนังที่สมบูรณ์แบบในทุกองค์ประกอบครับ มันคือหนังที่เด็กดูเอาสนุกได้ แต่ผู้ใหญ่ดูแล้วจะได้แรงบันดาลใจและข้อคิดกลับไปเพียบ เป็นหนังที่หยิบมาดูซ้ำกี่รอบก็ยังเจอรายละเอียดใหม่ๆ เสมอ ใครยังไม่เคยดู หรือดูนานแล้ว แนะนำให้กลับไปดูซ้ำด่วนๆ movie24hd แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมแฟนๆ ถึงรอคอยภาค 2 กันขนาดนี้!”